ตอนที่ 4
ชิงเจ้าบ่าว
“เจ้าเหตุใดจึงมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งปานนี้”
“นักพรตโง่เจ้ากำลังทำร้ายคนดี เอ่อ ไม่ใช่เจ้ากำลังใส่ร้ายคนที่เป็นฝ่ายถูกเช่นข้าอยู่นะคนที่ทำให้ข้าต้องมาอยู่ในร่างนี้ก็คือนางนางสังหารสตรีที่ข้าอยู่ในร่าง”
“แล้วเจ้าเป็นใคร”
“เจ้าลืมข้าแล้วหรือนักพรตโง่”
“เจ้าคือ”
“หลี่เจินเหรินคนที่เจ้าเคยทำนายดวงชะตาให้เมื่อหลายปีก่อน”
“ฮองเฮาหลี่เช่นนั้นหรือ”
“ถ้าไม่เชื่อก็จับดวงดูชะตาข้าสิ”
นักพรตโง่ที่สู้ข้าไม่ได้เปิดดวงตาที่สามตรวจดวงชะตาข้าในทันที่เมื่อตรวจเสร็จก็ทรุดตัวลงมาคุกเข่าลงที่พื้นก้มลงทำความเคารพข้าเมื่อก่อนนั้นเขายังเด็กกว่านี้ไม่นึกว่ายังมีชีวิตอยู่แสดงว่าเวลานี้ไม่ผ่านมานานขนาดนั้น
“ท่านนักพรตไหนท่านบอกจะช่วยพวกเราเหตุใดถึงคุกเข่าให้นาง”
“เรื่องนี้เจ้าเข้าใจผิดนาง”
“ข้าขอสิ่งเดี๋ยวจับกุมสตรีนางนี้เข้าคุกเพื่อรับโทษหลักฐานทุกอย่างอยู่ที่นี้แล้ว และคนนี้ปั๋วเหิงหรานเข้าเป็นสามีข้า ข้าจะนำเขาออกไปด้วย”
“ไม่ได้!”
“แต่เขาคือสามีข้า ข้าจะทำอะไรใครก็ได้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าไป!!”
ข้ากระชากสามีของข้าพาตัวออกไปก่อนที่ลูกน้องทั้งสี่คนจะตามข้ามาด้วยกันลาก่อนข้าเบื่อเขาแล้วจะนำมาคืนก็แล้วกัน
............................
...................
................
“ตามไปช่วยคุณชายเร็ว”
“ไม่ต้องตามไป ดวงชะตานางนั้นมีดวงพิฆาตตนเองและมีจิตใจโหดเหี้ยมอย่างมากคนเราจะกล้าสังหารตนต้องมีความกล้าขนาดใดไม่มีใครรู้”
“ท่านนักพรตหมายความว่า”
“เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่แคว้นหรงนางคือท่านหญิงหลี่ซิ่วอิงหรือแม่ทัพหลี่ทีรักษาชายแดน ศัตรูมากมายต่างไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาโจมตีเพราะเกรงกลัวความโหดเหี้ยมของนางตอนนั้นข้ายังเป็นเด็ก 10 ขวบปีออกเดินทางกับท่านอาจารย์นางสู้รบที่ชายแดนอย่างห้าวหาญข้าคำนวนดูแล้วตอนนี้ข้าก็อายุถึง 98 ปี เป็นนักพรตมาพบเจอนางถึงสามชาติพวกเจ้ารวมกันสู้นางไม่ได้แน่นอนปล่อยวางเถิดนางเบื่อบุตรชายเจ้านางจะเอามาคืนพวกเจ้าเอง”
“นางจะไม่ทำอันใดบุตรชายข้าใช่หรือไม่”
“พวกเจ้ายังเด็กกว่านางด้วยซ้ำนางไม่ทำอันใดหรอก”
“แต่ว่า...”
“ข้าไปล่ะ อ้ออย่าลืมส่งคนผิดไปรับโทษด้วยหากนางมารู้ว่าพวกเจ้าโกหกนางตามมาล้างตระกูลพวกเจ้าแน่นอน”
“ทราบแล้วข้าเป็นฮูหยินรองจะส่งนางไปรับโทษเองเจ้าค่ะท่านนักพรต”
“มีวาสนาคงได้พบกันอีก”
................................................
ข้าควบม้าเดินทางมาพร้อมกับบ่าวรับใช้แล้วสามีที่พึ่งแต่งงานขิงข้าที่มีแรงเพียงน้อยนิดแต่เหิมเกริมทำตัวเก่งกาจเป็นเด็กน้อยที่น่ารักเสียจริง
“ปล่อยข้านะ”
“อย่าดิ้นสิไม่อย่างนั้นเจ้าจะตกม้าเอาเสีย”
“ต่อให้ตกม้าตายข้าก็ไม่เสียดาย!”
“จริงหรือ...”
ข้าจึงลองปล่อยเขาให้เกือบตกม้าสุดท้ายเป็นเขาที่ร้องไห้จนข้าต้องเลิกแกล้งเขาแทนเด็กน้อยเช่นเขาโดนสตรีผู้นั้นหลอกล่อจนเสียสติคล้อยตามเช่นนั้นน่าสงสารเสียจริงแต่ก็อย่างว่าแหละนะเพราน้องสาวของร่างนี้เสแสร้งอ่อนแอมากนี้นะ
“เจ้าหิวมั้ย”
“ข้า ไม่หิว”
จ๊อกกกกกกกกกกกกก
“หืม เช่นนั้นหรือโกหกไม้เนียนเลยนะ”
“ข้าไม่อยากอยู่กับเจ้า”
“เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้วนะหรือเจ้าลืมหนังสือสมรสก็มีเจ้ายังปากแข็งอีก”
“แต่ข้าไม่เต็มใจ!”
“คุณหนู”
“เตรียมของมาหมดแล้วใช่มั้ยลี่จื่อ”
“เจ้าค่ะ พี่เยี่ยอวิ๋นขับรถม้าตามมาแล้วเจ้าค่ะ มีสิ่งที่คุณหนูต้องการมาด้วย”
“อืม คืนนี้พักที่โรงเตี๊ยมนี้ก่อนแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
“ปั๋วเหิงหราน เจ้ากินอาหารตรงหน้าเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้ากระดูกหักแล้วค่อยยัดอาหารเข้าปากเจ้า”
“เจ้าจับข้ามาทำไม”
“อวิ๋นซิ่วอิงนางรักเจ้ามาก ข้าอย่างให้นางสมปราถนา”
“เจ้าไม่ใช่นางหรือไร”
“เจ้าโง่หรือไง ข้าก็พูดก็บอกกับทุกคนไปแล้วว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นมายังไง เจ้านี้ไม่ใส่ใจฟังเลยหรือไงคนโง่”
“นี้เจ้า!”
“หุบปากแล้วกินอาหารไปซะเราจะได้พักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทาง”
“เจ้าจะไปที่ใด”
“แคว้นอู๋”
การเดินทางที่ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนในที่สุดการเดินทางในครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จเมื่อในที่สุดพวกข้าก็มาถึงแคว้นอู๋เสียที่อู๋จวินหลิวหลาน ข้ามาหาเจ้าแล้วในที่สุดอีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันอีกครั้งแล้ว การเดินทางที่แสนเหนื่อยลำบากก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเมื่อหวังว่าจะได้เจอกับคนที่ข้าอยากเจอมานาน
“คุณหนูท่านเข้าเมืองเพราะอยากเจอกับฮองเต้แคว้นอู๋หรือเจ้าคะ”
“อืม ข้าอยากเห็นเขาสักครั้ง”
ข้าหุบยิ้มเอาไว้ไม่ไหวจนแสดงออกจนเกินงามอย่างไรเสียเจ้าคนแซ่อู๋ผู้นั้นก็เป็นสามีข้าถึงสองชาติจะลืมเลือนไปได้อย่างไรถึงแม้เราจะจากกันด้วยไม่ดีก็เถอะ
“ท่านตา วันนี้คือวันที่ฝ่าบาทจะเดินทางมาเยี่ยมดูราษฎรใช่มั้ย”
“นางหนูหน้าตาไม่ใช่คนที่นี้เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าฝ่าบาทจะมาเยี่ยมดูพวกเราถูกสิ้นเดือนเช่นนี้”
“อ้อ พี่ชายข้าเป็นทหารในวังเล่าให้ฟัง”
“อ้อเช่นนี้เองอีกสักพักก็จะออกมาแล้ว ฮองเฮาก็จะเสด็จมาด้วยนะพระนางงดงามยิ่งนักแถมยังติดดินเสียอีกรักและห่วงใยประชาชนอย่างพวกเรา”
“ฮองเฮา เอ่อฮองเฮาที่ท่านตากล่าวมาคือ...”
“ฮองเฮาลู่ ลู่ผิงอวิ๋น พี่ชายเจ้าไม่ได้เล่าให้ฟังหรือ”
“เอ่อ...”
ข้าย้อนถึงคำพูดก่อนที่ข้ากำลังจะตายเขาเคยพูดว่าจะไม่รักใครจะไม่แต่งงานกับใครจะรักข้าและจะให้ข้าเป็นฮองเฮาของเขาคนเดียว...
ข้าโดนหลอกอีกแล้วหรือ
ข้าไม่ควรเชื่อใจเขา
ข้าไม่ควรรักเขาเพราะข้าคือคนที่ตายไปแล้ว ตายไปนานแล้วเสียด้วยซ้ำข้าไม่ควรหวังอะไรแบบนี้เลยไม่ควรหวัง......
“ฝ่าบาทเสด็จ!!!”
สิ้นเสียงทุกคนคุกเข่าลงทันทีมีเพียงข้าที่ยืนอยู่เพียงผู้เดียวสายตาของทุกคนจับจ้องมายังข้าที่ยืนอยู่ข้าไม่อยากที่จะคุกเข่าอีกข้าไม่อยากเลย สายตาของเขาหันมามองข้าก่อนจะหยุดชะงักลงพร้อมกับปล่อยมือสตรีตรงหน้านั้นทันที่ เขาชราลงมากผมขาวเริ่มมากขึ้นเขาไว้หนวดด้วยในตอนนั้นข้าบอกว่าไม่ชอบหนวดเขาเลย เขาจึนโกนหนวดทุกครั้ง แต่ตอนนี้ไม่เหมือกันเขากับข้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“บังอาจเห็นฝ่าบาทแล้วยังไม่คุกเข่าอีก!”
“....”
“นางหนูคุกเข่าลง”
“....”
“ซิ่วอิง...”
“....”
“หลี่ซิ่วอิง”
อู๋จวินหลิวหลานเดินตรงมาหาข้าทันทีแต่ข้ากลับจ้องมองปยังเขาพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงความฝันที่ข้ารอคอยกลับสูญเปล่าไม่น่าหวังว่าจะได้เจอเขาอีกเลยไม่น่าหวังจริงๆ
“หลี่เจินเหริน หลี่ซิ่วอิงนั้นเจ้าใช่มั้ย เจ้าจริงๆใช่มั้ย”
“เจ้าโกหก เจ้าหลอกลวง เจ้าผิดสัญญา เจ้าไม่เคยจริงใจกับข้าเลยเจ้าโกหกข้าแม้แต่ก่อนตายเจ้ายังโกหก เจ้าบอกกับข้าว่าเจ้าจะไม่แต่งงานไม่รักกับคนอื่นเจ้าจะมีข้าคนเดียวตลอดไปแล้วสตรีผ็นั้นเป็นใคร แล้วในท้องนางมีอะไร ทั้งๆที่ข้าตายก็เพราะเจ้าลูกข้าที่อยู่ในท้องไม่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาเพราะเจ้าข้ารักเจ้าจนยอมตายเพื่อเจ้า ข้าไม่น่าเกิดมาแล้วเจอเจ้าเลยอู๋จวิน ไม่น่าเกิดมาแล้วรักเจ้าทุกภพทุกชาติเลยจริงๆ”
“ซิ่วอิง”
“ข้าอยากอยู่กับเจ้าตลอดไป แต่นั้นก่อนที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าไม่รักษาสัญญาข้าอุตส่ามีโอกาสได้กลับมาแต่เจ้าทำให้ข้านึกเสียใจที่ได้กลับมา วันนี้ข้าหลี่ซิ่วอิง หลี่เจินเหริน ขอตัดวาสนากับเจ้าอู๋จวิน อู๋จวินหลิวหลาน ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติข้าคนนี้จะไม่ขอรักเจ้าอีกตลอดไปและขออย่าได้เจอเจ้าอีกตลอดไป!”
“ซิ่วอิงข้าขอโทษ...”
“....”
“อย่าไป กลับมาหาข้าอย่าไปเลย!”
“แย่แล้วฝ่าบาทเป็นเป็นลมไปแล้ว!!!”
“...อย่าทิ้งข้า...กลับมา...”
ข้าหันหลังเดินหนีออกมาถึงได้บอกว่าอย่าหวังกับคำสัญญาปลอมๆพวกนั้นเพราะข้าตายเพราะเขามาสองชาติแล้วการกลับบ้านเกิดคือสิ่งที่ข้าคิดได้
“อวิ๋นซิ่วอิง เจ้าไปตลาดนานมากเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าถามอะไรมากมาย”
“เจ้าร้องไห้ทำไม”
“เรื่องของข้า”
“ตั้งแต่ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าไม่เคยร้องไห้สักครั้งเหตุใดเจ้ากลับมาจากตลาดถึงร้องไห้หนักถึงเพียงนี้”
“เจ้าสนใจข้า?”
“เหอะ ใครจะสนใจเจ้า”
“เหอะ ปากแข็งไปเถอะเก็บของได้แล้วพวกเราจะไปแคว้นหรง”
“เราพึ่งมาถึงเมื่อวานนี้เองนะ”
“โวยวายเข้าไป ข้าบอกอะไรก็ทำตามนั้นเถอะอย่าพูดมาก”
ข้าเร่งออกมาทันที่หลังจากตุ่นเสบียงก่อนเดินทางมา ข้าให้ปั๋วเหิงหรานนั่งรถม้าส่วนข้าขี่ม้าโดยตลอดระยะเวลาที่ข้าได้รู้จักเจ้าเด็กนี้ ข้ารู้เลยว่าเขาเรียนเก่งอย่างเดียวขี่ม้าก็ไม่เป็นทำอะไรก็ไม่เป็นไม่เคยอยู่กับความลำบากก็เป็นลูกชายคนเล็กบิดามารดาตามใจพี่สาวพี่ชายตามใจตั้งแต่เด็กไม่แปลกที่เขาจะจะเป็นเช่นนี้
“พักกลางป่านี้แหละ ตั้งกระโจมด้วย”
“ขอรับ”
“ใกล้ๆนี้มีลำธารไปอาน้ำชำระร่างกายที่นั้นได้”
“คุณหนูเคยมาที่นี้หรือเจ้าคะ”
“อืม เคยมาหลายครั้ง”
ครั้งแรกที่มาก็มาพร้อมกับพี่ชายน้องสาวทั้งสองกับเด็กทารกตัวน้อยๆนั้นไม่คิดเลยเวลาจะผ่านไปนานจนข้าเกือบจำไม่ได้แล้วถ้าข้ามีชีวิตอยู่ตอนนั้น ตอนนี้ข้าคงร้อยกว่าปีแล้วล่ะ หลี่เจินหลานตอนนี้คงจะห้าสิบกว่าแล้วคงจะตลกหน้าดูที่ต้องเห็นคนที่เคยเป็นองค์รัชทยาทที่สง่างามที่ในอดีตชาติเป็นบุตรชายแสนดีของข้า แต่ว่าป่านนี้ลูกชายข้าจะแก่ลงขนาดไหนกันนะอยากพบพวกเขาเหลือเกินพราะข้าเป็นเช่นนี้ข้าเลยปลงตกไม่ไหวยังยึดติดกับสิ่งเดิมๆจนไม่อาจจะปล่อยวางอย่างสนิทใจเห็นทีชาติหน้าข้าตายไปแล้วจะไปหายายเมิ่งกินน้ำแกงของนางก่อนไปเกิดดีกว่าจะได้ลืมบุญคุณความแค้นเหล่านี้ไปให้หมด
“เจ้าไม่อาบน้ำหรือเหิงหราน”
“ข้า...”
“หรือเจ้ากลัว?”
“ข้าไม่กล้าไปอาบคนเดียว”
“ให้ข้าไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“เจ้ากล้าไปกับข้าหรือ”
“ข้าไปได้ เดียวข้าไปเฝ้าเจ้าเอง”
ข้าเดินนำเขาไปที่ลำธารก่อนที่จะนั่งมองเขาลงอาบน้ำถ้านับเขาจริงๆคงต้องเป็นเด็กรุ่นหลานของข้าแล้วล่ะไม่มีอะไรหน้าตื่นเต้นมากหรอกข้าเฉยๆมากกว่าที่ได้เห็นเด็กน้อยแก้ผ้าอาบน้ำแบบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฮูหยินไร้พ่าย