วันรุ่งขึ้นฉินหวยจือมาถึงที่หน้าบริษัทวังซื่อกรุ๊ปแต่เช้า
ยังคงเป็นรปภ.คนเมื่อวานนี้ เขาไม่ได้เห็นตอนที่ฉินหวยจือถูกไล่ออกไป จึงยังคิดว่าฉินหวยจือเป็นแขกคนสำคัญของวังซื่อกรุ๊ป รีบเสนอหน้ายิ้มเข้าไปต้อนรับ
“ท่านฉิน ท่านมาอีกแล้ว”
“อือม์ ”
ฉินหวยจือส่งเสียงรับไปตามเรื่องมุ่งหน้าตรงขึ้นไปชั้นบน ปล่อยรปภ.คนนั้นยืนเซ่อ
“เมื่อวานแกไปทำอะไรให้ท่านฉินไม่พอใจไม่ใช่หรือ แน่นอนว่าเขาเลยไม่สนใจแก”
เพื่อนร่วมงานพูดเย้ย
อีกคนยังส่ายหน้าทำเสียงชิชะ
“ตระกูลฉินนี่เท่าที่รู้มานะ เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่อยู่ในสายตาใครเลย ตอนนี้มาพันเกี่ยวกับวังซื่อกรุ๊ปเรา คงต้องรุ่งโรจน์ก้าวไกลไปได้ในไม่นานเกินรอ”
“ถึงว่า ตระกูลฉินนี่ต้องก้าวขึ้นเป็นตระกูลดังของเมืองฉือเป็นแน่แท้ พวกเราจึงต้องนอบน้อมต่อท่านฉินถึงจะถูกนะ ต่อไปถ้าใครกล้าทำอะไรขัดใจท่านฉินอีกนะ ข้าจะตะเพิดไล่ไปให้ก่อนเลยแหละ!”
เสียงหัวหน้ารปภ.ออกดังอย่างตั้งใจ ชัด ๆ ว่าจะให้ฉินหวยจือได้ยิน
ฉินหวยจือในขณะนั้นเลยได้หัวเราะลั่นออกไป
เขายังไม่เคยได้รับการดูแลถึงขนาดนี้เลย โดยเฉพาะจากวังซื่อกรุ๊ป
ที่ผ่านมาเขาก็เคยคิดจะหาทางร่วมมือกับวังซื่อกรุ๊ปอยู่ แต่อย่าว่าแต่วังจ่างหลินเลย แม้กระทั่งเหยียนเลว่ที่แค่เป็นรปภ.กระจอก ๆ ยังกล้าทำหน้าบึ้งใส่เขาเลย มาตอนนี้แล้วทีใครทีมันมั่งละ ช่างน่าสะใจดีแท้
อย่างรวดเร็ว ฉินหวยจือขึ้นไปถึงชั้นบน
มาครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเยว่ชูหลิงมาต้อนรับเขา
“ทำไมเป็นคุณ?”
เยว่ชูหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หล่อนไม่ค่อยจะเข้าใจ การคุยในข้อตกลงเป็นฉินปิงหลัน แล้วทำไมกลับให้ฉินหวยจือมาสานต่อ หรือคนที่ชื่อฉินปิงหลันนั่นคิดว่าพอคุยตกลงกันแล้วจะใช้ให้ใครมาก็ได้?
มาแบบนี้มันกวนโมโหกันเกินไปแล้ว
ยิ่งมองดูสายตาของฉินหวยจือคนนี้แล้ว ยิ่งทำให้นางไม่สบอารมณ์เอามาก
สายตาประเภทคนบ้าตัณหา ทำเจ้าชู้ประตูดินแบบนั้น
ฉินหวยจือไม่รู้ว่าเยว่ชูหลิงคิดกับเขายังไงอยู่ ได้ยินหล่อนพูดก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยพูดไปว่า “คืออย่างนี้ เจ้าฉินปิงหลันนั้นไม่ใช่ผู้มีอำนาจเต็มของบริษัท ต้องผมนี่ถึงจะใช่ เพื่อแสดงออกถึงการร่วมมือกับบริษัทคุณด้วยความจริงใจอันบริสุทธิ์ ฉะนั้นแล้วการประสานงานขั้นต่อไปผมจะเข้ามารับผิดชอบด้วยอำนาจเต็มโดยตรง”
“อ๋อ”
เยว่ชูหลิงตอบรับไปอย่างเรียบ ๆ แต่ในใจยังให้สงสัยอยู่
ฉินปิงหลันก็ประธานของฉินซื่อกรุ๊ปไม่ใช่หรือ?หล่อนก็เคยได้ยินวังจ่างหลินพูดถึงอยู่ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่นี่มันคงเรื่องภายในของพวกเขาซึ่งไม่ใช่เราต้องไปยุ่งด้วย คงทำไปตามที่วังจ่างหลินสั่งไว้ให้จัดการเรื่องร่วมงานกันให้เสร็จสิ้น
แต่ในช่วงที่ดำเนินการในข้อตกลงของสัญญา เยว่ซูหลิงได้เห็นเลยว่าความสามารถในเชิงธุรกิจของฉินหวยจือนั้นแย่มาก อย่างน้อยถ้าเทียบกับฉินปิงหลันนั้นด้อยไปไกลอีกหลายขั้น
หล่อนหาข้ออ้างแล้วใช้โอกาสขึ้นไปพบวังจ่างหลิน
“ท่านประธานวัง งานร่วมมือกันนี้ฉันทำต่อไม่ได้แล้วคะ”
หล่อนพูดเข้าตรงประเด็น
“อะไรนะ?”
วังจ่างหลินชะงัก
หรือทีท่าของฉินปิงหลันมีอะไรดูเลวร้าย
ประสิทธิภาพในกางาน เมื่อวานนี้เยว่ซูหลิงเองก็เพิ่งจะยอมรับฉินปิงหลัน นั่นก็ไม่น่าใช่ปัญหาเรื่องนี้
เยว่ซูหลิงพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ฉินซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนคนทำสัญญา คือคนที่ชื่อฉินหวยจือที่มาเมื่อวาน อ้างตัวเองว่าเป็นประธานตัวจริงมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ดิฉันเห็นว่าความรู้พื้นฐานธุรกิจงานสร้างของเจ้าหมอนี่มันดูเลื่อนลอยเรื่อยเปื่อย ไม่มีพื้นฐานความสามารถเอาเลย”
“อะไรนะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ