“เฮอะ ๆ”
ได้ยินฉินหวยจือถามมา เฉินอีแค่นหัวเราะเบา ๆ เลิกคิ้วขึ้นสูง
“อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้แผนตื้น ๆ ของพวกแกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะปิงหลันเป็นผู้ที่วังซื่อกรุ๊ปบ่งชัดเป็นผู้รับผิดชอบ บวกกับที่พวกแกก็ไม่มีความสามารถจริง น่ากลัวคงปล่อยให้ปิงหลันสาบสูญไปจากความทรงจำแล้ว”
“ตอนนี้คิดถึงปิงหลันก็จะเอาปิงหลันไปใช้ ความคิดพวกแกรู้สึกจะง่ายเกินไปหน่อยนะ”
น้ำเสียงของเฉินอีหนาวเหน็บ
ฉินหวยจือถูกตอกให้โกรธจนอกกระเพื่อม
ฉินต้าซานก็หันมองมา ขยักคิ้วนิ่วพูดไปว่า “เฉินอี นี่เป็นเรื่องในครอบครัวตระกูลฉินของเรา ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ถ้างั้นก็เสียใจด้วย พวกคุณจัดการกันไปเองแล้วกัน”
เฉินอีไม่ใช่คนที่จะเล่นด้วยได้เลย รั้งมือฉินปิงหลันเตรียมเดินจากไปในเดี๋ยวนั้น
ฉินต้าซานเห็นดังนั้น รีบพูดว่า “ปิงหลัน เธอจะไปกับไอ้คนนี้จริง ๆ หรือ?”
เขาพูดไปอย่างไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
ฉินปิงหลันไม่แอะปากพูดสักคำ
ตอนนี้ในส่วนลึก ๆ ของหล่อนเริ่มรู้สึกที่จะพึ่งพาเฉินอีแล้ว ถึงแม้ในใจก็ยังไม่พร้อมจะเป็นแบบนั้น
ฉินต้าซานก็ให้รู้สึกขนลุกเสียวกลัว
ฉินปิงหลันที่ผ่านมาเป็นเด็กสาวอยู่ในโอวาทมาอย่างดี และค่อนข้างอ่อนไหว ยิ่งจากเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วก็ยิ่งทำให้กลายเป็นคนนิสัยหวาดระแวง เขาก็ตั้งใจใช้จุดอ่อนนี้บีบคั้นฉินปิงหลัน
ไม่ได้สมอย่างใจคิด ฉินปิงหลันอ่อนแอ แต่เจ้าเฉินอีคนนี้กลับแข็งแบบสุดขั้ว
แข็งกล้าอะไรขนาดนี้
เขารู้ดีว่าเฉินอีคนนี้ไม่ใช่จะรับมือได้ง่าย ๆ จึงได้แต่ทำใจสูดหายใจเข้าลึก ๆ
“เฉินอี ตกลงคุณคิดจะเอายังไง?”
“อ้าว คุณพูดมาแบบนี้ เหมือนว่าผมนี่เลวมากเลยนะ งั้นผมก็ยิ่งไม่คิดจะคุยกับคุณแล้ว”
ฉินต้าซาน “...........”
ฉินหวยจือ “.........”
ฉินโร่ซี ซูฟาง “.........”
พวกเขาว่าไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านไม่รู้จักอายถึงขนาดนี้จริง ๆ พวกเขาเองแต่ละคนอุตส่าห์บากหน้ามากันแล้วกลับมาเจอมาดเก๊กไม่ไว้หน้ากันเลยของไอ้หมอนี่แบบนี้
แต่พูดก็พูดไป วิธีการแบบนี้ก็ดีนะ แบบที่ว่าเลวมาต้องเลวไป
“ปิงหลัน อาขอร้องเธอละ ช่วยพวกเราหน่อย ช่วยตระกูลฉินด้วยเถอะ!”
เสียงดังผับ ฉินต้าซานคุกเข่าลงกับพื้น ทำเอาทุกคนที่เห็นตกตะลึงกันอย่างแรง
ไม่เพียงแค่นั้น อีกสามคนทั้งฉินหวยจือก็ถูกดึงให้คุกเข่าลงด้วย
“ทุกคนขอโทษกับปิงหลันเดี๋ยวนี้!”
ฉินหวยจือฉินโร่ซีต่างงงเซ่อ แต่โดนสายตาจ้องอย่างโหดดุของฉินต้าซานเข้า พวกเขาแน่นอนว่าไม่กล้าพูดมาก รีบชิงกันกล่าวคำขอโทษกับฉินปิงหลันกันเป็นการใหญ่
ฉินปิงหลันก็งงเซ่อ
หล่อนมองดูท่าทีคุกเข่าขอขมาของแต่ละคนอย่างเงียบขรึม คิดอยู่ว่าจะห้ามแต่ถูกสั่งหยุดอย่างไร้เสียงจากเฉินอี
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดที่พวกเขาก่อขึ้นกันเอง สมควรแล้วที่ต้องชดใช้ให้สมค่า
ถูกหยามคือศักดิ์ศรีผู้อื่น ฉะนั้นจึงต้องชดใช้ด้วยศักดิ์ศรีของตัวเองให้ถูกหยามบ้าง
สุดท้ายฉินปิงหลันก็รับปาก
ณ ตึกวังซื่อกรุ๊ป ครั้งนี้วังจ่างหลินไม่ได้ออกหน้า เป็นการแจ้งบอกมาจากเฉินอี
ถึงยังไงฉินปิงหลันก็ต้องฝึกฝน ไม่ควรปล่อยให้เลื่อนลอยเกินไป
แต่การปรากฏตัวของเยว่ซูหลิงอีกในครั้งนี้ ท่ามาดที่วางลดต่ำลงจากหลายวันก่อนอย่างมากและมาก จนสร้างความประหลาดใจให้ฉินปิงหลัน
“ผู้อำนวยการเยว่ท่านนี้ เป็นรูปแบบหญิงแกร่งของเมืองฉือคนหนึ่ง ลือชื่อในความหยิ่งทะนง ไหงดูเกรงใจเราขนาดนี้?”
แม้ว่าครั้งที่แล้ววังจ่างหลินจะเป็นคนต้อนรับเราด้วยตัวเอง ก็เพราะเรื่องการร่วมงานด้านธุรกิจ ฝ่ายเขาก็ไม่เห็นจำเป็นอะไรที่ต้องปฏิบัติกับเราเองถึงขนาดนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ