“เจ้าคอยช่วยงานราชการมาหลายปี แต่กลับผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไร้ความสามารถเสียจริง!”
“ปีนี้แม้แต่บัญชีของกรมคลังก็ยังขาดดุล ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย!”
“หากมอบแผ่นดินนี้ไว้ในมือเจ้า เราจะวางใจได้อย่างไร?”
เสียงตำหนิติเตียนประโยคแล้วประโยคเล่า ดังก้องอยู่ในหู
ฉินหมิงยืนนิ่งอยู่กลางท้องพระโรงจินหลวน
เหล่าขุนนางที่อยู่เบื้องล่าง ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
บ้างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บ้างก็ก้มหน้าถอนหายใจ
ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัว เขาทะลุมิติมาแล้ว
ชาติที่แล้ว เขาเป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาฟิสิกส์ อุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเขียนบทความลงในวารสารชั้นนำ แต่กลับถูกอาจารย์ที่ปรึกษาขโมยผลงานไปเปลี่ยนชื่อผู้เขียน
ยื่นเรื่องร้องเรียนก็ไม่เป็นผล แถมยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด จนอายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังเรียนไม่จบ
สุดท้ายก็เก็บความอัดอั้นตันใจไว้ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนป่วยตายอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
เมื่อมาถึงราชวงศ์ต้าเฉียน ในชาตินี้เขาคือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้
ในฐานะผู้สืบทอดจักรวรรดิในอนาคต ชีวิตของเขาควรจะรุ่งโรจน์โชติช่วงและยิ่งใหญ่เกรียงไกร
แต่องค์รัชทายาทอย่างเขากลับแตกต่างออกไป เพราะมีเสด็จพ่อผู้ลำเอียงอยู่เบื้องบน
นับตั้งแต่ที่มารดาผู้ให้กำเนิดของฉินหมิงซึ่งเป็นฮองเฮาได้สิ้นพระชนม์ไป ฮ่องเต้เฉียนก็มอบความรักใคร่โปรดปรานทั้งหมดให้แก่เซียวซูเฟย
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจ็ดปีก่อน
ในตอนนั้น โอรสของเซียวซูเฟย องค์ชายเก้าฉินเยว่ได้ประสูติ
แม้จะยังเยาว์วัย แต่ฮ่องเต้เฉียนกลับมอบทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมอบให้ได้แก่เขา
ทันทีที่ประสูติ ฉินเยว่ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นจิ้นอ๋อง
ในบรรดาอ๋องทั้งหลาย ฉินและจิ้นถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด
แม้จะเป็นองค์ชายลำดับที่เก้า แต่กลับได้ตำแหน่งจิ้นอ๋องที่เทียบเท่ากับฉินอ๋อง ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับฉินหมิงผู้เป็นองค์รัชทายาทได้ แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานที่ฮ่องเต้เฉียนมีต่อเขาอย่างชัดเจน
เมื่อเทียบกันแล้ว
สถานการณ์ของฉินหมิงกลับยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นในสนามรบหรือในราชสำนัก เขาได้สร้างคุณงามความดีไว้มากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับถูกมองข้าม
แถมยังถูกจับผิดไปเสียทุกเรื่อง
หากมีข้อบกพร่องใด ๆ ก็จะถูกฮ่องเต้เฉียนตำหนิว่า เขาไร้คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง!
วันนี้ก็เช่นกัน ฮ่องเต้เฉียนทอดพระเนตรรายงานของกรมคลังปีนี้แล้ว ก็เริ่มตำหนิฉินหมิงทันที
พระองค์ทรงลืมไปแล้วว่าเงินที่ใช้ไปในปีนี้ คือการสร้างคลองเหนือใต้ และจัดตั้งกรมการค้าทางทะเลปั๋วซือ
เงินที่ได้จากการค้าทางทะเลในปีหน้า สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและพัฒนาของต้าเฉียนได้ถึงสามปี!
แต่เสด็จพ่อผู้ลำเอียงคนนี้ กลับมองแค่บัญชีของกรมคลังในปีนี้ แล้วรู้สึกว่าไม่ดีเท่าปีก่อน ๆ
จึงใช้โอกาสนี้ ตำหนิเขาต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย
ดูเหมือนสถานการณ์ของเขาจะไม่สู้ดีนัก
ฉินหมิงเบ้ปาก
ทำไมถึงเป็นบทละครที่ต้องทำงานหนักฟรี ๆ แบบนี้อีกแล้ว?
ถูกเสด็จพ่อแบบนี้กดขี่มาหลายปี แต่ไม่ได้อะไรดี ๆ ตอบแทนสักอย่าง
เจ้าของร่างเดิมกลับยังทนได้
เป็นเต่าหรือไง?
แต่เขาทนไม่ไหวแล้ว!
ได้เกิดใหม่ทั้งที ใครก็อย่าหวังว่าจะมากดขี่เขาได้อีก!
ทำหน้าบึ้งใส่เขาอย่างนั้นหรือ?
ขอโทษด้วย ข้าจะไม่รับใช้อีกต่อไปแล้ว!
ต่อไปนี้ข้าอยากทำอะไรก็จะทำ ใครจะพอใจหรือไม่พอใจก็ช่าง แค่ข้าพอใจก็พอ!
“ในเมื่อเสด็จพ่อทรงคิดว่าลูกไร้คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ไร้ความสามารถ ลูกเองก็รู้สึกว่ามิอาจแบกรับภาระบ้านเมืองอันใหญ่หลวงนี้ได้ เช่นนั้นก็ขอให้เสด็จพ่อส่งลูกไปรักษาการณ์ชายแดนที่หลิ่งหนานเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างกายของฮ่องเต้เฉียนแข็งทื่อไปชั่วขณะ ราวกับยังประมวลผลคำพูดของฉินหมิงไม่ทัน
แต่หลังจากนั้นก็ทรงกริ้วอย่างยิ่ง ชี้หน้าตำหนิว่า
“เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาท! นึกจะไปก็ไป เจ้าเห็นกฎเกณฑ์ของราชสำนักและกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่!?”
“ตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ลูกไม่ต้องการแล้ว!”
หากเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ต้องทนกับเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ทุกวัน
แล้วจะเป็นไปทำพระแสงอะไรกัน?
ให้องค์ชายเก้าสุดที่รักของท่านมาเป็นเถอะ!
“อะไรนะ!?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง!
อัครมหาเสนาบดีเฉินซื่อเม่าไม่สนใจธรรมเนียมระหว่างกษัตริย์และขุนนางอีกต่อไป รีบพุ่งไปข้างหน้าดึงฉินหมิงไว้
“องค์รัชทายาท อย่าทำอะไรตามอารมณ์เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉียนไฉเสนาบดีกรมคลังตัวสั่นเทา รีบกล่าวแก้ต่าง
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเพียงแค่พลั้งเผลอไปชั่วขณะ โปรดอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
หลายปีมานี้ องค์รัชทายาทได้นำกรมคลังสร้างผลงานมามากมาย
ใครจะไปก็ได้ แต่เขาไปไม่ได้!
นอกจากพวกเขาแล้ว ขุนนางอีกหกกรมก็พากันก้าวออกมาขัดขวาง
ฮ่องเต้เฉียนแค่นเสียงเย็น
ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แสดงท่าทีของประมุขในระบอบศักดินา
“ฉินหมิง หากเจ้ากลับไปกักบริเวณสามเดือน สำนึกผิดดี ๆ เราจะถือว่าเมื่อครู่เจ้าเพียงแค่พลั้งปากไป!”
เมื่อเห็นฮ่องเต้เฉียนตรัสเช่นนั้น ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ฉินหมิงกลับส่ายหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“เสด็จพ่อ ลูกพูดคำไหนคำนั้น องค์รัชทายาทนี้ ลูกไม่เป็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจ! คิดว่าเราไม่กล้าปลดเจ้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทจริง ๆ หรือ?”
ฮ่องเต้เฉียนรู้สึกว่าถูกลบหลู่พระเกียรติ ทรงตบโต๊ะเบื้องหน้าอย่างแรง แล้วตวาดเสียงดังลั่น!
“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยเสด็จพ่อ โปรดออกราชโองการมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินหมิงโค้งคำนับ แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ทันใดนั้น เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“จบสิ้นแล้ว”
ท่ามกลางฝูงชน เฉินซื่อเม่าและเฉียนไฉต่างหลับตาด้วยความเจ็บปวด
ในขณะนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เซียวซูเฟยมาที่นี่
การคุกเข่าของเซียวซูเฟยครั้งนี้ เป็นการมัดมือชกฉินหมิงอย่างแท้จริง
ต่อให้เขาไม่อยากไป ฮ่องเต้เฉียนก็จะไม่ยอมแล้ว!
สตรีใจคอโหดเหี้ยมผู้นี้!
ฉินหมิงมองเซียวซูเฟยที่กำลังแสดงละครฉากใหญ่อยู่เบื้องหน้า แล้วส่ายศีรษะเบา ๆ
แม้แต่ตอนที่เขาจะออกจากราชสำนักไป นางก็ยังจะใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุด มาแสดงละครฉากนี้ เพื่อแสร้งทำเป็นสตรีที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์อีกหรือ?
ดูเหมือนว่า การตัดสินใจออกจากราชสำนักของเขานั้นถูกต้องแล้ว
ส่วนนางอยากจะคุกเข่า เช่นนั้นก็คุกเข่าอยู่ตรงนี้ต่อไปเถอะ
นางสมควรจะยอมรับผิดกับตนบ้าง
“พอแล้ว ยังจะมาแสดงละครอะไรกับข้าอีก? หรือว่ากำลังรอให้เสด็จพ่อมาพยุงท่านล่ะ?”
ฉินหมิงก้มหน้าลง กระซิบข้างหูเซียวซูเฟยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของนางก็หรี่ลง แล้วเงยหน้าจ้องมองฉินหมิงทันที
เห็นเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อยที่มุมปากของฉินหมิง กำลังจ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ
สิ่งนี้ทำให้เซียวซูเฟยรู้สึกระแวงอย่างมาก
นางสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันใหญ่หลวง!
องค์รัชทายาทที่เคยโอบอ้อมอารีมาตลอด เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้พูดจาเชือดเฉือนเช่นนี้?
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อ้ายเฟย ลุกขึ้นเถิด!”
“เจ้าจะคุกเข่าให้เจ้าลูกทรพีนี่ได้อย่างไร!”
ฮ่องเต้เฉียนเสด็จมาถึงข้างกายเซียวซูเฟย แล้วประคองนางขึ้นมา
จากนั้นก็หันไปมองฉินหมิงด้วยความโกรธ
“เจ้าลูกอกตัญญู! กุ้ยเฟยคุกเข่าต่อหน้าเจ้าแล้ว เจ้ากลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย!”
“ดี เราจะทำให้เจ้าสมหวัง!”
“ถ่ายทอดราชโองการของเรา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ถอดถอนตำแหน่งองค์รัชทายาทของฉินอ๋อง และส่งไปรักษาการณ์ชายแดนที่หลิ่งหนาน!”
“ฝ่าบาท!!”
เฉินซื่อเม่าคุกเข่าลงเสียงดังตุบต่อหน้าฮ่องเต้เฉียนทันที
“องค์รัชทายาทจะไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์จะต้องเสียพระทัย!”
“เราไม่มีวันเสียใจ!”
ฮ่องเต้เฉียนจ้องมองฉินหมิงด้วยความรังเกียจแวบหนึ่ง แล้วก้มลงปลอบโยนเซียวซูเฟย
ท่าทางที่ห่วงใยและทะนุถนอมอย่างยิ่งนั้น ทำให้ในใจของฉินหมิงรู้สึกดูแคลน
ฮ่องเต้เฒ่าไร้สมอง ไม่ช้าก็เร็วคงได้ตายอยู่ใต้กระโปรงสตรี!
ฉินหมิงแค่นเสียงเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกก็ไม่มีวันเสียใจเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว