วันรุ่งขึ้น ณ ท่าเรือขนส่งทางน้ำนอกเมืองหลวง
เรือสินค้าจากขบวนเรือหนานหยางหลายร้อยลำจอดเทียบท่าอยู่ที่นี่
ระยะห่างระหว่างเรือแต่ละลำมีเพียงหนึ่งจั้ง แทบจะเรียกได้ว่าเบียดชิดติดกัน
จ้าวสี่มองจากระยะไกล ยังกลัวว่าพวกมันจะเผลอไปขูดขีดกันเข้า
“คนเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?”
เขาพึมพำพลางเดินเข้าไปข้างหน้า ถือรายการสินค้าของปีนี้ จากนั้นขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
ลูกน้องสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ รีบกล่าวว่า
“ใต้เท้า จำนวนก็ประมาณนี้มาตลอดขอรับ”
“ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ข้าจะเจรจาเรื่องราคาสินค้าที่ต้องการกับพวกเขาเอง”
“ขอรับ!”
ขุนนางที่รับผิดชอบการขนส่งทางน้ำชื่อว่าลู่โหย่ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วสั่งให้ลูกน้องรีบไปแจ้งให้ผู้ดูแลของกองคาราวานสินค้ามารวมตัวกัน
หลังจากดูรายการราคาสองสามรอบ
ลูกตาของจ้าวสี่ก็กลอกไปมา แผนการหนึ่งผุดขึ้นในใจ เขาจึงเอ่ยถามลู่โหย่ว
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย ของสิ่งนี้เคยให้พวกเขาดูแล้วหรือยัง?”
“ยังเลยขอรับ ใต้เท้า”
“เช่นนั้นแล้วรายการพวกนี้ เจ้ามีสำเนาหรือไม่?”
“มีขอรับ พวกเราต้องเก็บสำเนาไว้ เพื่อสะดวกในการตรวจสอบบัญชี”
จ้าวสี่ลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ต่อหน้าลู่โหย่ว เขายื่นมือออกไปเปลี่ยนราคาผ้าไหมจากสิบเจ็ดตำลึงห้าอีแปะ เป็นสิบเจ็ดตำลึงหกอีแปะ
แล้วใช้วิธีเดียวกัน แก้ไขรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกสองสามแห่ง
ผ้าหนึ่งพับทำกำไรเพิ่มหนึ่งอีแปะ ผ้าสิบพับก็ได้หนึ่งตำลึงแล้ว
การค้าขายขนาดใหญ่ของขบวนเรือหนานหยางเช่นนี้ เพียงแค่หาเศษหาเลยจากทุกอย่างที่ผ่านมือ คราวนี้เขาก็สามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สีหน้าของลู่โหย่วดูย่ำแย่ลงเล็กน้อย
“ใต้เท้า ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จ้าวสี่จิ๊ปาก กล่าวกับลู่โหย่วด้วยท่าทางผิดหวังในตัวอีกฝ่ายอย่างยิ่งว่า
“ราคาน่ะ ก็ยังคงคิดตามสำเนาของพวกเจ้า ส่วนเงินที่เพิ่มขึ้นมา ถึงเวลาแล้ว จะไม่ขาดส่วนของเจ้าอย่างแน่นอน”
“ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง”
ลู่โหย่วทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของฉินหมิงมาโดยตลอด
ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่โปร่งใสเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมทำตาม สีหน้าของจ้าวสี่ก็พลันมืดมนลง
“ลู่โหย่ว อย่าให้เกียรติแล้วไม่เห็นคุณค่า!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นความประสงค์ของผู้ใด? เงินก้อนนี้มีเพียงข้าจ้าวสี่คนเดียวที่ได้กินหรือ? สุดท้ายก็ต้องนำไปแสดงความกตัญญูต่อเบื้องบนมิใช่หรือ?”
“สมองอย่างเจ้านี่ มิน่าเล่าถึงได้เป็นแค่คนดูแลการขนส่งทางน้ำมาหลายปี!”
ลู่โหย่วถูกเขาตำหนิจนในใจรู้สึกไม่พอใจ
แต่ตำแหน่งสูงกว่าหนึ่งขั้นก็สามารถกดขี่คนอื่นได้
เขากำหมัดแน่น เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ใต้เท้า ขบวนเรือจากแคว้นต่าง ๆ ในแถบหนานหยางก็ไม่ใช่คนโง่ หากถูกจับได้จะทำอย่างไรขอรับ?”
“จับได้อะไร? เจ้าช่างน่าสนใจจริง ๆ เรื่องเงินแค่หนึ่งอีแปะ พวกเขาจะพูดอะไรได้?”
จ้าวสี่ผลักเขาไปข้างหนึ่ง
แล้วโบกมือสั่งคนข้างล่างว่า
“พาใต้เท้าลู่ลงไปก่อนเถอะ เขารู้สึกไม่สบาย การเจรจาค้าขายในวันนี้ ข้าจะเป็นคนเจรจาด้วยตัวเอง”
“ขอรับ!”
ลู่โหย่วจึงถูกคุมตัวลงไปเช่นนั้น
ไม่นานนัก กลุ่มทูตจากแคว้นต่าง ๆ ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตาก็เดินมาอยู่ต่อหน้าจ้าวสี่
“ทุกท่าน ยินดีต้อนรับการมาเยือนของพวกท่าน!”
จ้าวสี่ยืนขึ้นจากที่นั่งหลัก กางแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด
ทุกคนต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
หลังจากรออยู่นาน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจตนเอง จ้าวสี่ก็หัวเราะแห้ง ๆ
“ทุกท่านฟังภาษาต้าเฉียนของข้าไม่เข้าใจหรือ? ข้าสามารถหาคนที่คุ้นเคยกับภาษาของพวกท่านมาเจรจากับพวกท่านได้”
“ไม่ต้องหรอก ส่งรายการมาเถอะ”
สิ่งที่ทำให้จ้าวสี่ประหลาดใจก็คือ พวกเขากลับฟังเข้าใจ เช่นนั้นแล้วความเงียบเมื่อครู่ก็คือไม่อยากจะสนใจเขาจริง ๆ ...
มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย จ้าวสี่ยื่นรายการในมือออกไปด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง ให้พวกเขาเวียนกันดู
ในใจเริ่มจินตนาการถึงเงินก้อนโตที่จะได้มาในคราวนี้แล้ว
อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมีสักสามหมื่นตำลึงเงินกระมัง?
...
ภายในจวนอ๋อง
ฉินหมิงนั่งอยู่ในเรือน กำลังคลอเคลียอยู่กับเสี่ยวชุ่ย
เสี่ยวชุ่ยถูกเขากอดให้นั่งอยู่บนตัก ร่างกายพิงอยู่บนตัวเขาเบา ๆ
เหตุผลที่เฉียนไฉไม่ยอมไปในตอนแรก
หนึ่งก็เพราะรู้ว่าตนเองคุมสถานการณ์ไม่อยู่
สองก็เพราะคนเหล่านั้นคบหาด้วยยาก
หากไม่มีความมั่นใจ ก็ไม่ควรไปจะดีที่สุด
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉางไป๋ซานกล่าวอย่างโกรธแค้น
“ท่านไม่ทราบหรอกว่า ไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น พอไปถึงวันแรกก็แก้ราคา คิดจะใช้ราคาส่วนต่างเพื่อทุจริต”
“คนของขบวนเรือสินค้าจากแคว้นต่าง ๆ ในแถบหนานหยาง เข้ามาในตลาดเมืองหลวงนานแล้ว รู้ราคาสินค้าในแต่ละวันเป็นอย่างดี!”
“เจ้าสารเลวนี่มิใช่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำหรอกหรือ!”
ขุนนางคนหนึ่งที่ไม่เคยดูแลเรื่องนี้มาก่อน กลับมาเล่นลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนทำการค้าขายกับบรรดาพ่อค้า
ช่างน่าขันสิ้นดี
ฉินหมิงดึงเสี่ยวชุ่ยกลับมานั่งในอ้อมกอดอีกครั้ง แล้วถามต่อว่า
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“ตอนนี้ถูกตีจนบาดเจ็บสาหัส ถูกโยนทิ้งไว้ที่ประตูเมืองหลวง เรื่องราวใหญ่โตมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนนี้ฉินหมิงไม่ถามไถ่เรื่องราชการอีกแล้ว รอเพียงแค่การจัดสรรของราชสำนักสิ้นสุดลง ก็จะเดินทางออกจากเมืองหลวง
เรื่องราวในราชสำนัก แน่นอนว่าย่อมรู้ไม่มากนัก
แต่เรื่องราวได้บานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ไม่อยากรู้ก็คงเป็นไปไม่ได้
“กองคาราวานสินค้าพวกนั้นว่าอย่างไร?”
“พวกเขาบอกว่าราชสำนักจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกเขา! มิเช่นนั้น ชาตินี้จะไม่เหยียบย่างเข้ามาในแผ่นดินต้าเฉียนอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”
ที่ฉางไป๋ซานมาในวันนี้ ก็เพื่อต้องการเกลี้ยกล่อมให้ฉินหมิงยื่นมือเข้าช่วย
“องค์ชาย ท่านออกหน้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถพูดกับพวกเขาได้!”
หลายปีมานี้ มีเพียงฉินหมิงเท่านั้นที่เวลาทำการค้ากับพวกเขา ขั้นตอนทุกอย่างจะเรียบง่าย รวดเร็วอย่างยิ่ง และไม่เคยมีสถานการณ์ขูดรีดเรียกรับสินบนเกิดขึ้นเลย
ดังนั้นในสายตาของคนจากกองคาราวานสินค้าหนานหยางเหล่านี้ เขาจึงเป็นคู่ค้าที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
ต้าเฉียนอันยิ่งใหญ่ กลับมีเพียงคนเดียวที่แคว้นต่าง ๆ ในแถบหนานหยางให้ความไว้วางใจ
ช่างน่าเศร้าจริง ๆ
เมื่อเผชิญกับคำพูดของฉางไป๋ซาน ฉินหมิงกลับยังคงเล่นกับเท้าที่ขาวนวลของเสี่ยวชุ่ย กล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้าออกหน้าหรือ? ข้าจะออกหน้าทำพระแสงอะไร!”
“ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่า อะไรที่เรียกว่าส่งเทพออกไปนั้นง่าย แต่เชิญเทพกลับมานั้นยากนัก!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว