ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1173

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงดุจเดียวกัน หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านทะเลเลือดอย่างว่องไว สีหน้าก็เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

ลมปราณในทะเลโลหิตชวนให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่เลือนราง คล้ายกับผู้ฝึกฝนสายโลหิตที่เรียกตนเองว่า “ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉาง” ซึ่งเคยสิงอยู่ในร่างผู้ฝึกฝนแซ่ซุนจากสำนักเฮ่าหรานเมื่อตอนนั้น

ในตอนนี้เอง ทิศเหนือ ทิศตะวันตก ทิศใต้ อีกสามทิศของสนามรบก็เกิดเหตุประหลาดแทบจะในเวลาเดียวกัน!

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าทิศเหนือ เสียงคำรามคลุ้มคลั่งสะเทือนแก้วหูแทบดับฉับพลันดังขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งแฝงแววดูแคลนทุกสรรพสิ่งบนโลก!

ต่อจากนั้นลำแสงสีน้ำตาลที่มีเปลวเพลิงลุกโหมสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วดิ่งลงมาประหนึ่งอุกกาบาต ร่วงลงบนยอดเขายักษ์สูงร้อยจั้งลูกหนึ่งทางเหนือ เศษหินปลิวว่อน ยอดเขาทั้งลูกทลายไม่เหลือในพริบตา!

ลำแสงสีน้ำตาลโผล่ขึ้นกลางกองเศษหินอีกครั้ง จากนั้นเหาะมายังฝั่งเหนือของกองทัพเผ่ามนุษย์อย่างรวดเร็ว

ด้านในลำแสงมองเห็นชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มผมแดงตาสีเขียวคนหนึ่งเลือนราง เขาเปลือยท่อนบนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แล้วใช้ทั้งมือทั้งเท้าวิ่งทะยานบนพื้น

ไกลออกไปทางทิศตะวันออกมองเห็นเงาคนผอมบางสีดำสนิทร่างหนึ่งอยู่เลือนราง ร่างนั้นเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

เมื่อพิจมองจึงเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มผอมเพรียวที่พันผ้าพันแผลสีดำทั่วทั้งตัวผู้หนึ่ง เขาเพียงยื่นมืออกมาวาดแผ่วเบาสบายๆ ครั้งหนึ่งก็เปิดรอยแยกมิติเส้นหนึ่งได้ในพริบตา

เด็กหนุ่มคนนี้เข้าออกรอยแยกมิติได้ตามใจแล้วอาศัยสิ่งนี้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว!

ในเวลาเดียวกันนี้ท้องฟ้าทิศใต้ที่เดิมทีสีฟ้าครามมีเมฆขาวลอยล่องกลับถูกย้อมเป็นสีเขียวเข้ม สภาพแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

พร้อมกันนั้นปราณสีเขียวหนาทึบสายหนึ่งก็ถาโถมมาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งเข้าใส่ฝั่งใต้ของกองทัพเผ่ามนุษย์

ด้านในปราณสีเขียวคือแม่เฒ่าผู้มีตุ่มทั่วตัวผมเผ้ากระเซิงคนหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นลำแสงสีน้ำตาล เงาคนสีดำหรือปราณสีเขียวหนาทึบล้วนแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดกลัวไม่แพ้ทะเลสีเลือด!

ตรงนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อีกสามคน!

“ทะเลเลือดนี่…ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉาง!” ปรมาจารย์เสวียนอวี๋บนฟ้าที่กำลังถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในแผ่นหยกแวววาวเบื้องหน้าไม่หยุดกวาดสายตาไปยังทะเลเลือดอันไร้ขอบเขตที่โถมเข้ามา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ไม่ใช่แค่เขา หากข้ามองไม่ผิดราชาคลั่งเลี่ยเจวี๋ยเทียน จักรพรรดิรัตติกาลมู่เชียนอิ่ง พระสนมพิษอู่เจียงเย่ว์ที่วันวานเคยทำให้แผ่นดินจงเทียนปั่นป่วนโกลาหลล้วนมากันพร้อมหน้า!” ประมุขหอเป๋ยโต่วอ้าปากเอ่ยคำพูดที่ทำให้ทุกคนตาค้างออกมา

เมื่อคำนี้ถูกเอ่ยขึ้น ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่นั่นต่างพากันหวาดหวั่นอยู่ในใจ

“นี่…สี่คนนี้ไม่ได้เล่ากันว่าในอดีตถูกท่านเทพหมัวหยาแห่งเขาถานกวงผนึกไว้ใต้ยอดเขาห้าดรรชนีสุดขอบก้นทะเลตะวันออก หุบเขาน้ำแข็งทมิฬกลางทะเลน้ำแข็งอันไร้ขอบเขต บ่อน้ำเงียบสงัดกลางทะเลทรายหินกับบึงร้างที่ดินแดนหนานฮวงไม่ใช่หรือ เหตุใดจึง…” ฮูหยินเจินจากนิกายเทียนกงเอ่ยพร้อมสีหน้าฉงน

“ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ผนึกยามนั้นคงพลังลดทอนนานแล้ว ถึงอย่างไรยามนั้นท่านเทพหมัวหยาก็ยังไม่บรรลุระดับอมตะ” ผู้เฒ่าผอมแห้งจากนิกายปีศาจลี้ลับเอ่ยเช่นนี้

“เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาเช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่มารร้ายสี่ตัวนี้จะหลุดออกมาพร้อมกันพอดีแล้วรีบเร่งเดินทางมาที่นี่พร้อมกัน…” ปรมาจารย์มู่คงเลื่อนสายตาไปมองราชินีหนอนผีเสื้อที่ยังคงเฟ้นหาวิธีเบียดตัวผ่านรอยแยกบนท้องฟ้า แล้วเอ่ยอย่างมีความนัย

“หากการที่ทั้งสี่คนนี้หลุดจากพันธนาการเกี่ยวข้องกับเผ่าหนอนผีเสื้อจริง ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากแล้ว เฮ้อ หากท่านเทพหมัวหยายังอยู่ก็คงดี” บุรุษวัยกลางคนแซ่เซวียนจากสำนักเฮ่าหรานยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยออกมา

“ยามนั้นหลังจากท่านเทพหมัวหยาผนึกสี่คนนี้ก็ออกท่องใต้หล้าเพื่อบรรลุระดับอมตะ…ผ่านไปเนิ่นนานหลายปีเช่นนี้ไม่เคยได้ยินข่าวเขาปรากฏตัวที่ใดอีก หากมิใช่เขาบรรลุแล้วก็คงละสังขารไปนานแล้วกระมัง” ปรมาจารย์มู่คงเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง

ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ทะเลเลือดไร้ขอบเขตทางตะวันออกก็ถาโถมมาถึง ชั่วขณะหนึ่งหมอกโลหิตท่วมฟ้าหนาแน่นจนประหนึ่งของเหลว กลิ่นคาวเลือดฟุ้งตลบอบอวล

คลื่นโลหิตซัดกลบผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หลายร้อยคนกับแมลงระดับล่างนับหมื่นตัวที่หนีไม่ทันในพริบตา ต่อจากนั้นศพของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่แห้งกรังศพแล้วศพเล่าก็ถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลังทะเลเลือด!

แม้แมลงระดับล่างเหล่านั้นจะถูกโยนออกมาเช่นเดียวกัน แต่นอกจากเวียนหัวสับสนทิศทางเล็กน้อยกลับไม่มีอันตรายอะไรต่อชีวิต!

“เสวียนอู๋ฉาง ยามนี้จงเทียนถูกพวกต่างเผ่ารุกราน สรรพชีวิตตกอยู่ในห้วงวิกฤต เจ้าดีเลวก็ยังเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ แต่กลับไม่รู้จักสำนึก ไปช่วยคนชั่วทำเรื่องเลวทราม!” เสียงทุ้มต่ำของปรมาจารย์มู่คงดังมาจากบนท้องฟ้า

“ฮ่าๆ ตอนนั้นเจ้าแก่หมัวหยาใช้โซ่ปราบมารเก้านภาผนึกข้าเสวียนอู๋ฉางไว้ที่ก้นทะเลบูรพาทั้งเป็นอยู่แปดหมื่นกว่าปีเหมือนมารตัวหนึ่ง ยามนี้ยังจะมาพูดถึงผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์อันใดกับข้าอีก นี่ไยไม่ใช่น่าหัวร่อยิ่งนัก! ข้าเป็นคนที่จะเวทนาชาวประชา สนใจสรรพชีวิตในใต้หล้าหรือไร ข้าสาบานไว้แล้วว่าจะเอาเลือดมนุษย์แปดล้านคนมาชดใช้ความแค้นลึกล้ำนี้!” บุรุษวัยกลางคนผู้มีเส้นผมสีโลหิตทั้งศีรษะคนหนึ่งโผล่ออกมาจากทะเลเลือด เสียงหัวเราะอันเย็นชาดังออกมาจากปากเขาแล้วเอ่ยปากพูด

“เหอะ ยามนั้นท่านเทพหมัวหยาเห็นแก่ที่เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์ กว่าจะฝึกฝนมาไม่ง่าย จึงใช้โลหิตบริสุทธิ์หนึ่งฝ่ามือของตนสร้างยอดเขาห้าดรรชนีสะกดเจ้าไว้อย่างไม่เสียดาย เพื่อให้เจ้ากลับตัวกลับใจ คิดไม่ถึงเจ้ากลับเป็นเดรัจฉานไร้สำนึกเช่นนี้ ดูท่าคนชั่วช้าอย่างไรก็ชั่วช้า!” ปรมาจารย์มู่คงด่าทออย่างเกรี้ยวกราด

“พูดมากเปล่าประโยชน์ ลงมือเลยเถอะ!”เสวียนอู๋ฉางไม่คิดจะตอบแม้แต่น้อย หลังจากแค่นเสียงหยันคำหนึ่งก็เห็นสองมือของเขาใช้เคล็ดวิชาจนมองแล้วตาลาย หลังจากนั้นคำรามทุ่มต่ำออกมาคำหนึ่ง

เกิดเสียงฟึบดังสนั่น!

หนวดที่ก่อตัวจากโลหิตเส้นแล้วเส้นเล่าฟาดออกมาจากทะเลเลือดหวดเข้าใส่กองทัพผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์

จุดที่ฟาดผ่าน ไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรือแมลงล้วนกลายเป็นศพแห้งกรังร่วงลงมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา