“รอเดี๋ยว ถ้าเป็นนกเผิง…” เยี่ยนจ้าวเกอพลันขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยินว่า ในสงครามที่ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก ผู้นำทัพเผ่าปีศาจคือเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ที่เคยมีชื่อเสียงในยุคโบราณตอนกลาง?”
เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ หรืออินทรีเผิงปีกทอง เป็นมหาเทวะเผ่าปีศาจที่เคยมีโด่งดังในยุคไซอิ๋วโบราณตอนกลางอยู่ช่วงหนึ่ง ภายหลังถูกพระยูไลสะกดไว้ นำกลับไปที่วัดลุ่นอิมในเขาหลิงซาน ข่าวคราวสูญหายไปตั้งแต่นั้น
ภายหลังพระยูไลแห่งเขาหลิงซานหลุดพ้น พระศรีอาริยเมตไตรยประสูติแล้วกลายเป็นพระศรีอารย์ ในแดนอภิรดีศูนย์กลางก็ไม่เห็นวิหกท่องเมฆหมื่นลี้อีก
จนกระทั่งยี่สิบปีก่อน เผ่าปีศาจได้เข้าสู่ทางโลกใหม่ ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก เผิงท่องเมฆหมื่นลี้จึงค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง
บนสมรภูมิที่ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก วิหกท่องเมฆหมื่นลี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นำทัพบัญชาการผู้เข้มเข็งเผ่าปีศาจตนอื่น มีความเก่งกล้าสามารถ สามารถพลิกคว่ำฟ้าดิน ทำให้เหล่านักบวชในศานาพุทธปวดเศียรเวียนเกล้า
โดยเฉพาเขายังเร็วเกินไป เหมือนกับไม่เห็นมิติเวลาในสายตา แม้แต่พระพุทธเจ้าที่อยู่ในระดับมหาชาล ยามก้าวเท้ามีดอกบัวผุดขึ้นยังไล่ไม่ทัน
เป็นเหตุให้พลังของเขาแค่คนเดียวแทบใช้ดูแลทั่วทั้งสนามรบได้ทั้งหมด เหมือนกับคงอยู่ทุกที่
ยามที่เหล่าสมณะในศาสนาพุทธของแดนสุขาวดีตะวันตกต่อสู้กับเซียนปีศาจตนอื่นๆ ยังจำเป็นต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาป้องกันไม่ให้ถูกเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ลอบจู่โจมตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ตอนแรกเป็นการทำสงครามที่มีพลังสูสีกัน ก็เปลี่ยนเป็นถูกกดดันเพราะถูกมัดมือมัดเท้า
สิ่งที่ทำให้แดนสุขาวดีตะวันตกปวดหัวก็คือ ถ้าระดับพลังฝึกปรือแตกต่างกันเกินไป แม้จะระวังป้องกันก็ไม่มีประโยชน์
ยามเผิงตัวนี้บินผ่าน แค่กระพือปีกครั้งเดียว เหล่าคะเตและอรหันต์แห่งศาสนาพุทธต่างบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ
ทั้งหมดอาศัยการเสริมพลังจากค่ายกลและของวิเศษส่วนหนึ่ง จึงค่อยตั้งหลักได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ การโยกย้ายกำลังโดยรวมจึงชะงักอีกครั้ง
ภายหลังมียอดฝีมือศาสนาพุทธจำนวนมากกว่าเดิมเข้าร่วมสงคราม คอยซุ่มจู่โจมกลุ้มรุมสังหาร ทำให้เผิงท่องเมฆหมื่นลี้เกือบเสียท่า จึงค่อยสงบลง
แต่ว่าสามารถหลุดพ้นจากวงล้อมมาได้ ก็เห็นคามสามารถของเขาได้มากพอแล้ว
นกเผิงยักษ์ที่พลังฝึกปรือและความสามารถต่ำกว่าตนอื่นๆ เทียบกับคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันแล้ว ต่างถนัดในด้านความเร็ว สามารปั่นป่วนสนามรบ มอบความยุ่งยากให้แก่แดนสุขาวดีตะวันตกได้ไม่น้อย
ดังนั้นนักบวชฮุ่ยอั้นจึงนำวารีสามแสงออกเขา เดินทางไปช่วยปราบนกเผิงตัวแล้วตัวเล่าในแต่ละพื้นที่
“นักบวชฮุ่ยอั้นเล็งเป้าหมายไปที่เผ่าเผิงยักษ์โดยเฉพาะ” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วมองเกาหาน “เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ทราบแล้ว ไฉนจึงนิ่งดูดาย?”
“ข้าคิดเรื่องนี้ได้ ยอดฝีมือศาสนาพุทธในแดนสุขาวดีตะวันตกก็สมควรคิดได้ พวกเขาขบคิดแต่แรกว่าจะกลุ้มรุมสังหารเผิงท่องเมฆหมื่นลี้อย่างไร ยากจะบอกเป็นอย่างยิ่งว่านักบวชฮุ่ยอั้นเป็นตัวล่อหรือไม่”
สถานการณ์ที่เหมือนไม่มีอะไร ในความจริงแล้วอาจซ่อนคลื่นใต้น้ำ มหาเทวะเผ่าปีศาจกับสมณะศาสนาพุทธระดับชั้นมหาชาลล้วนจับตาดูนักบวชฮุ่ยอั้น
เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ไม่เคลื่อนไหว สมณะศาสนาพุทธไม่มีทางเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรนักบวชฮุ่ยอั้นก็ไม่มีทางเสียท่าให้แก่นกเผิงตัวอื่นๆ
ทว่าถ้าหากมีคนอื่นๆ สอดมือเข้ามาสร้างความลำบากแก่นักบวชฮุ่ยอั้น เช่นนั้นผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธไม่แน่ว่าจะละทิ้งแผนการเดิม จัดการความยุ่งยากตรงหน้าก่อน
เยี่ยนจ้าวเกอมองเกาหาน อีกฝ่ายพยักหน้าเหมือนรู้สึกมีเหตุผล “ท่านกล่าวไม่ผิด เป็นเช่นนี้จริงๆ”
เขาหัวเราะ “แต่ในทางกลับกัน เมื่อเผิงท่องเมฆหมื่นลี้เคลื่อนไหว เหล่าพระพุทธเจ้าเคลื่อนไหว มหาเทวะเผ่าปีศาจที่เหลือก็เคลื่อนไหว ทางนักบวชฮุ่ยอั้นก็ไม่มีผู้ใดสนใจอีก เวลานั้นจึงเป็นโอกาสของพวกเรา”
“ถ้าหากว่าทุกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวพร้อมกัน เช่นนั้นได้แต่บอกว่าพวกเราทุกคนไม่มีวาสนากับวารีสามแสงแล้ว”
เกาหานกล่าวอย่างเรียบเฉย “ในโลกนี้ที่สุดแล้วยังคงมีเรื่องราวที่ไม่เป็นไปดั่งใจมากมาย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี