“ผ่านไปเรื่อยๆ สถานการณ์ยิ่งมายิ่งไม่ถูกต้อง?” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวทวนคำพูดนี้เที่ยวหนึ่ง ตาเป็นประกายเล็กน้อย “กาลเวลาไหลคล้อย ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงหกวิถีของท่านพอดีหรือ”
ถงซินหลินกล่าวเสียงทุ้ม “ต่อสู้กันหลายสิบปี สถานการณ์ของกระบี่พุทธะยิ่งมายิ่งไม่ถูกต้อง จากทิฐิสุดขั้วในตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นความบ้าคลั่งเหี้ยมโหด”
“…วิถีนรก” เยี่ยนจ้าวเกอเม้มปาก
พุทธกระบี่เปลี่ยนหกวิถี สำหรับโลกภายนอก วิถีที่อันตรายที่สุดคือวิถีนรก
เปรียบเทียบกันแล้ว ถึงแม้ว่าการชมชอบเอาชนะของวิถีอสูรกับความละโมภชั่วร้ายของวิถีเปรตจะเป็นด้านลบ แต่อย่างน้อยยังมีพื้นที่ให้แลกเปลี่ยนและประนีประนอม
วิถีนรกที่บ้าคลั่งกระหายเลือด ถือมีดเชือดเฉือนชีวิต เปลี่ยนโลกมนุษย์ให้กลายเป็นนรก พระพุทธราวกับจอมมาร มีพลังทำลายล้างกับการคุกคามเห็นได้โดยตรงมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เป็นกระบี่โพธิสัตว์แห่งศาสนาพุทธสายหลัก หรือว่าเป็นตอนที่เข้าแดนสุขาวดีบัวขาวแล้ว ก่อนที่กระบี่พุทธะจะกลายเป็นวิถีนรก มักจะไปเข้าฌานเป็นเวลาพันปี
ครั้งกระโน้นแดนอภิรดีศูนย์กลางหรือแดนสุขาวดีบัวขาวในปัจจุบันยังช่วยจับตาดูแลท่าน ป้องกันไม่ให้นิสัยบ้าคลั่งของท่านกำเริบ ออกมากระทำผิดศีลฆ่าสัตว์
ถึงอย่างไรแดนสุขาวดีบัวขาวก็ให้ความสำคัญกับพลังศรัทธา ต่อให้จะต่อสู้กับโถงเซียนมาหลายปี ระหว่างกันและกันล้วนเป็นยอดฝีมือตัดสินกัน มีน้อยครั้งยิ่งที่ส่งผลต่อคนธรรมดา
เกิดว่ากระบี่พุทธะเข้าสู่วิถีนรก แทบเรียกได้ว่าหยิบมีดเชือดขึ้น กลายเป็นมารทันที
ถึงขั้นที่ยังบ้าคลั่งกระหายเลือด และไม่มีเหตุผลยิ่งกว่ามารร้ายนพยมโลกจำนวนมาก
ตามแผนการในตอนแรกของกระบี่พุทธะ ท่านมาถึงโลกน้ำพุหยกด้วยร่างพระพุทธเจ้า นอกเสียจากว่าอวี้ติ่งจินหยินยังอยู่ ไม่อย่างนั้นสามารถพากระบี่ลวงเซียน และคนในท้องถิ่นกลับแดนสุขาวดีบัวขาวอย่างสบายๆ เวลามีเหลือเฟือถึงขีดสุด
แต่เป็นเพราะทิฐิของวิถีอสูร ทำให้ท่านเสียเวลากับเยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนหลายสิบปี
เวลาผ่านไป วันที่วิถีอสูรกลายเป็นวิถีนรกมาถึง
ความชมชอบเอาชนะหายไป ความบ้าคลั่งกระหายเลือดปรากฏขึ้น
กระบี่พุทธะไม่ต้องการต่อสู้กับเยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนต่ออีก และไม่คิดพาประชากรบนโลกน้ำพุหยกกลับแดนสุขาวดีบัวขาว แต่ต้องการเข่นฆ่าสังหาร ตัดปัญหาทุกอย่างให้จบ!
“คัมภีร์สังสารวัฏ…” เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือประคองหน้าผาก
กระบี่พุทธะที่กลายร่างเป็นวิถีเดรัจฉานจะซึมเซาเหม่อลอย ครึ่งหลับครึ่งตื่น ที่แล้วมาล้วนเข้าฌานไม่ออกมา ย่อมไม่ต้องพูดถึง
ถ้าหากว่าเป็นกระบี่พุทธะที่กลายร่างเป็นวิถีเทวดา บางทีอาจเอาแค่กระบี่ลวงเซียนไป
น่าเสียดายตอนท่านมายังโลกน้ำพุหยก ไม่ได้อยู่ในวิถีเทวดา แต่เป็นวิถีอสูร
กระนั้นเป็นเพราะความชมชอบเอาชนะของวิถีอสูร เยี่ยนซิงถางกับตี๋ชิงเหลียนจึงยั่วยุให้ท่านประกระบี่เพื่อรับมือได้
ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นวิถีมนุษย์หรือวิถีเปรต บางทีกระบี่พุทธะคงจะนำทุกคนกลับแดนสุขาวดีบัวขาวก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว
แต่ว่าพอกลายเป็นวิถีนรก ทุกอย่างก็ได้แต่เป็นสถานการณ์ไม่ตายไม่เลิกรา
เยี่ยนซิงถางกับตี๋ชิงเหลียนเผชิญกับเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่อาจค่อยๆ รับมือได้อีก
เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาอย่างเฉยชา “ในตอนที่ท่านเพิ่งเข้าสำนักศึกษามรรคา เส้นทางสองเส้นทางอยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านเลือกสำนักเต๋าสายหลักของพวกเรา หรือเลือกศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีต”
นักพรตจ้าวเจินงงงัน อ้าปากคิดกล่าวอะไร แต่กลับลังเลอยู่บ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่มองเขาอีก หันไปมองนักพรตชิงจาง “สองพันเก้าสิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้ กระบี่พุทธะมาโลกน้ำพุหยกเป็นครั้งแรก ท่านยินยอมละทิ้งเต๋าเข้ากับพุทธ ฝึกฝนหลักคัมภีร์ของพระศรีอริยเมตไตรยหรือ”
“ตอนนั้นย่อมไม่ยินยอม ถ้าไม่ใช่ถูกกดดันจนไร้หนทาง ผู้ใดยินยอมเข้ากับแดนสุขาวดี แต่ว่า…” นักพรตชิงจางส่ายหน้าถอนใจ
นักพรตจ้าวเจินขัดขื้น “ต่อให้ตอนนั้นอาจารย์ไม่ยอม วันนี้มีความคิดแล้ว พวกท่านอาศัยอะไรดูแคลน ยอมละทิ้งเต๋าเข้ากับพุทธเป็นเรื่องของพวกเรา…”
เยี่ยนจ้าวเกอตัดบทเขาอย่างเย็นชา “ท่านมีอิสระในการเลือกจริงๆ แต่ตอนนั้นการเสียสละชีพของท่านปู่กับท่านย่าไม่ใช่แค่ปกป้องชีวิตของอาจารย์ท่านเท่านั้น ยังมีครอบครัวและบรรพบุรุษของท่าน อิสระในการเลือกที่พวกท่านพูด เป็นเพราะว่าท่านปู่กับท่านย่าจึงค่อยมี ไม่อย่างนั้นท่านมีอิสระในการเลือกอันใดให้พูดถึง ด้วยคำกล่าวของท่าน ถ้าครั้งนั้นบรรพบุรุษของท่านถูกพาไปแดนสุขาวดีบัวขาว ท่านก็มีเส้นทางศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีตเพียงสายเดียวให้เดินตั้งแต่เกิด ตอนนี้ท่านพูดเรื่องอิสรภาพกับข้า? ความเสี่ยงไม่ยินยอมรับ ผลประโยชน์กลับต้องการยึดครองหมดสิ้น ท่านเก่งกาจนักหรือ ได้ผลประโยชน์ไปยังทำอวดโอ่อีก?”
เขากวาดมองคนบนโลกน้ำพุหยกรอบๆ พลันหัวเราะขึ้น “พวกท่านเกรงว่าจะไม่ทราบ ปัจจุบันนอกจากศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีตแล้ว สำนักเต๋าของพวกเราก็มีพวกนอกรีตเช่นกัน ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ พวกเขาสองฝ่ายก็โจมตีกันและกันมาโดยตลอด ช่วงชิงพลังศรัทธาและประชากร สิบปีสู้กันไม่รุนแรงครั้งหนึ่ง ร้อยปีสู้กันรุนแรงครั้งหนึ่ง แต่ละปีมียอดฝีมือที่บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แต่ว่าในสายตาของทั้งสองฝ่ายก็เพียงแค่สิ้นเปลืองตัวเบี้ยส่วนหนึ่งเท่านั้น ขอแค่มีพลังศรัทธามากพอ ในระยะเวลาอันสั้นสามารถชุบเลี้ยงชดเชยได้เร็วกว่าเดิม หากไปอยู่ด้านใน อย่าคิดว่าท่านไม่ต้องการต่อสู้ แค่ทำเป็นเสแสร้งแล้วจะรอด ภายใต้แสงพุทธพลังศรัทธา ท่านลงแรงหรือไม่ ตั้งใจหรือไม่ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองนักพรตชิงจาง นักพรตจ้าวเจิน กับเหยาอวิ๋นเฉิง “ยอดฝีมือของสองฝ่ายที่เคยเคลื่อนไหวเมื่อสองพันปีก่อน นอกจากระดับมหาชาลแล้ว ผู้ที่เลื่อนสู่ระดับเซียนแล้วอยู่รอดถึงวันนี้ ในสิบส่วนมีเหลือไม่ถึงสามส่วน สัดส่วนการตายนี้ไม่ทราบว่ามีสูงกว่าความน่าจะเป็นที่พวกท่านจะฝ่าภัยพิบัติปฐมลี้ลับหรือภัยพิบัติสัจพิศวงขนาดไหน ส่วนการบาดเจ็บล้มตายของคนที่ไม่กลายเป็นเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว”
นักพรตจ้าวเจินอ้าปาก คิดพูดอันใด ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับกล่าวอย่างราบเรียบต่อ “ท่านคิดว่าข้ากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เพื่อให้พวกท่านชั่งผลดีผลเสียเอง ให้โอกาสท่านตัดสินใจว่าจะเข้ากับศาสนาพุทธหรือไม่กระมัง ท่านอาศัยอะไรคิดว่าพวกท่านมีโอกาสนี้ ข้าพูดก็เพียงให้พวกท่านตายโดยที่เข้าใจเท่านั้น”
นักพรตจ้าวเจินอับอายกลายเป็นโทสะ กล่าวเสียงชิงชัง “ท่านแสดงอำนาจต่อหน้าพวกเราแล้วจะได้อะไร ตราผนึกยังอยู่ ท่านก็เหมือนกในกรงขังอย่างพวกเรา ถ้าหากทำลายตราผนึกได้ ท่านอาศัยอะไรเผชิญกระบี่พุทธะ ปัจจุบันสำนักเต๋าเสื่อมโทรม ท่านอาศัยอะไรทำตัวโอหังต่อหน้าแดนสุขาวดีศาสนาพุทธ”
“พระศรีอริยเมตไตรยแข็งแกร่งจริงๆ แต่ว่ากระบี่พุทธะ…เหอะๆ” เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้น เป็นประกายกระบี่สีแดงก่ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟากฟ้า
ท้องฟ้ากระเพื่อม ลวดลายค่ายกลบนตาผนึกนูนขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี