ได้ยินวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอ สั่วหมิงจางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “มีแต่เวลาจึงจะให้คำตอบพวกเราได้”
ถ้าหากว่ามีคนลงมือจัดการด้วยตัวเอง นั่นอาจมีหลักฐานให้ตรวจสอบ
แต่ว่าทราบเรื่องหรือไม่ ทราบมากเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ยากพิสูจน์แล้ว
มีแต่รอถึงตอนที่เห็นผลลัพธ์ครั้งสุดท้าย อาจจะเห็นเลศนัยส่วนหนึ่งได้
“บางทีไม่ต้องรออีกนานนัก” เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกอันใดออก มองอวกาศที่อยู่ห่างไป
ครู่ต่อมา เขาละสายตา พ่นลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “โชคดีที่ครั้งนี้พวกเราก็มิใช่ไม่มีผลลัพธ์อย่างอื่น”
เขายกมือขึ้นขีดเขียนใส่อากาศ อักขระอาคมสีดำหลายสายปรากฏอีกครั้ง ไหลเวียนในความว่างเปล่า
แสงส่องระยิบระยับ น้ำในทะเลเหวนพยมโลกสีดำถูกดึงออกมาใหม่
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้างแบฝ่ามือ เก็บน้ำทะเลไว้ด้านใน จากนั้นก็มองไปยังยันต์อาคมเหล่านั้นพร้อมกัน
เยี่ยนจ้าวเกอตาเป็นประกายเล็กน้อย ยันต์อาคมหลายสายเปลี่ยนเป็นมายาลอยเวียนว่อน จัดเรียงกันใหม่กลางอากาศ กายเป็นบทประพันธ์ที่ลี้ลับ ทั้งหมดรวมกัน ราวกับค่ายกลอาคมขนาดมหึมา
ในค่ายกลอาคมมีจิตแห่งหลักการที่ลี้ลับหลากลักษณะไหลออกมา เยี่ยนจ้าวเกอมองค่ายกลอาคม สัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ด้านใน แล้วพูดขึ้นว่า “กะทันหันไปเล็กน้อย”
“ถึงจะขวางการเข้ามาของมารจิตแรกเริ่มไปแล้ว ทว่าการรบกวนจากจอมมารในนพยมโลกยากจะทำอะไรได้” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว “มารไม้อิกปฏิกิริยาเร็วนัก พวกเรามีเวลาจำกัด”
“อืม ถูกต้อง” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “แต่ก็พิสูจน์เรื่องหนึ่งได้สำเร็จ เป็นเพราะบรรพครรภ์ก่อนกำเนิด ศิษย์พี่เนี่ยในฐานะร่างแปลงของมารทองแก ไม่มั่นคง”
“เพียงน่าเสียดายที่ตอนนี้คู่ต่อสู้ที่พวกเราต้องเผชิญจริงๆ มิใช่มารทองแก แต่เป็นมารสวรรค์บุพากาล”
เยี่ยนจ้าวเกอพ่นลมหายใจเบาๆ “ต้องดูช่วงสุดท้าย นั่นจึงเป็นเวลาเห็นผลลัพธ์”
อย่าว่าแต่คนในสำนักเต๋าอาจมีแผนการแตกต่างกัน ต่อให้ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอรวบรวมพลังทุกส่วนในสำนักเต๋าสายหลัก เข่นฆ่ากับนพยมโลกไม่ตายไม่เลิกรา ถึงเวลาฝ่ายตรงข้ามอาจมิใช่มีแค่หมู่มารแห่งนพยมโลก ยังต้องเผชิญกับผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากจากศาสนาพุทธและเผ่าปีศาจ
คิดถึงนพยมโลกที่ก่อนหน้านี้เป็นศัตรูร่วมกันมาโดยตลอด ตอนนี้กลับกลายเป็นเป้าหมายที่ทุกอย่างร่วมมือให้การดูแล เยี่ยนจ้าวเกอก็สะท้อนใจว่าเรื่องราวบนโลกไม่จีรัง ความเหลวไหลกับความเป็นจริงมักมีเส้นบางๆ กันอยู่ จุดยืนตัดสินถูกผิด
“เหอะๆ หมากตานี้ยิ่งใหญ่นัก” เยี่ยนจ้าวเกอพลันหัวเราะขึ้น
“ถ้าหากว่าเป็นค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์จริงๆ เรื่องราวยังเกี่ยวพันกับมารสวรรค์บุพกาลและมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม สถานการณ์นั้นมิใช่พวกทีปังกรพุทธะควบคุมได้” สั่วหมิงจางกล่าวอย่างแช่มช้า “พวกทีปังกรพุทธะคิดจะหาผลประโยชน์ จำเป็นต้องมีเจ้ามรรคาหลายคนลงมือหนุนหลัง”
เขากวาดมองใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง “แต่ว่าเจ้ามรรคาทั้งหลายอยากจะเห็นระดับมรรคาคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นจริงๆ หรือ?”
การเดินหมากที่เกิดขึ้นเพราะการหลุดพ้นของผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคา มีแต่จะรุนแรงและโหดร้ายยิ่งกว่าการช่วงชิงตำแหน่งระดับมรรคาของมหาชาล
หากไม่มีเหตุผลพิเศษ ผู้เข้มแข็งระดับมรรคาระดับเดียวกันเพิ่มมาคนหนึ่ง การแข่งขันส่วนหนึ่งก็เพิ่มขึ้นมาด้วย สำหรับพวกเขา ตนเองมีโอกาสน้อยลงส่วนหนึ่ง
ผู้เคลื่อนไหวก่อนย่อมมีความได้เปรียบมหาศาล แต่ถ้าไม่อาจรับประกันได้ว่าตัวเองจะก้าวเท้าก้าวสุดท้ายนั้นสำเร็จได้ก่อนจริงๆ ผู้มาที่หลังไม่แน่ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่มาทีหลังแต่แซงขึ้นหน้า
กล่าวจากมุมมองหนึ่ง ถึงระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาที่มีอยู่ในตอนนี้จะเกิดข้อพิพาทกันไม่หยุด เป็นคู่ต่อสู้กันเอง ทว่าพวกเขาย่อมปฏิเสธการถือกำเนิดของเจ้ามรรคาคนใหม่
จุดที่ขัดแย้งอยู่ที่ เหล่าผู้เข้มแข็งระดับมหาชาลที่อยู่ในการบัญชาของพวกเขา ย่อมมีความต้องการและเป้าหมายของตัวเอง
เป้าหมายหลักย่อมเป็นการขึ้นสู่ระดับมรรคา
ความขัดแย้งนี้ย่อมดำรงอยู่ จะปรับสมดุลและกดข่มอย่างไร เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณา
“หาผู้รับช่วงต่อสักคนให้ตัวเอง” เยี่ยนจ้าวเกอมองสั่วหมิงจาง พยักหน้า “ตนเองหลุดพ้น จากนั้นให้ลูกน้องของตัวเองรับตำแหน่งนี้”
ตำแหน่งมีได้แค่หนึ่ง แต่ว่าคนที่เตรียมตัวไว้เรียบร้อยจริงๆ ก็มีจำกัดโดยแท้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี