เฉินหลินมองเยี่ยนจ้าวเกอ โกรธจนแทบทนไม่ไหว เกือบจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกในปราณจิตราโดยพลัน
มือหนึ่งวางลงบนไหล่ของนางอย่างรวดเร็ว เฉินหลินมองไป เป็นเสียจื่ออี้นั่นเอง
นางข่มความรู้สึกเศร้าต่อไปไม่ไหว “จื่ออี้…”
เสียจื่ออี้ตบบ่าของนาง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “เยี่ยนจ้าวเกอกระมัง?” เขาชี้พ่านพ่าน “บัดนี้ข้าจะพูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าจะสังหารปี่เซียะภูเขาของเจ้าเสีย”
บัดนี้เสียจื่ออี้อายุราวสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าฉายแววโหดเหี้ยมอยู่หลายส่วน
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความพร้อมที่จะต่อสู้ ทั้งยังมีความมั่นใจเช่นเดียวกับเยี่ยนส่าน ศิษย์น้องร่วมสำนักของเขา เพียงแต่ว่าจิตใจกลับสุขุมยิ่งกว่า กระนั้นทั่วกายกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหลงระเริงถือดี ร้ายกาจและทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “แท้จริงแล้วอยากสังหารข้าสินะ?”
เสียจื่ออี้มองเยี่ยนจ้าวเกอ พลันหัวร่อขึ้นมา แสงเย็นเยียบในดวงตาพลันปรากฎขึ้น “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดียิ่งนัก! เยี่ยนจ้าวเกอ ข้ารู้ว่าเจ้าเอาชนะเจ้าเศษสวะหลิวเซิ่งเฟิงนั่นได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าคิดว่าข้าเป็นเหมือนเขา เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว แม้ว่าหลิวเซิ่งเฟิงจะใช้ไม่ได้ยิ่ง แต่เจ้าสามารถใช้วรยุทธ์ขั้นเคียงนภาระยะต้น โจมตีเขาที่อยู่ในขั้นเคียงนภาระยะท้ายได้ เช่นนั้นก็พอจะพิสูจน์ความโดดเด่นของเจ้าได้แล้ว”
เขายื่นฝ่ามือออกมา ทั้งยังชี้ประดุจดาบ ฟันไปในอากาศเปล่าๆ “ใช่ เจ้าเก่งมาก แต่คงจะดีกว่านี้หากเจ้าเลิกโอหังเสียบ้าง ดังสำนวนว่า อัจฉริยะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะเรียกว่าอัจฉริยะ สิ้นชีพไปแล้ว ล้วนไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น! คำกล่าวนี้ล้วนใช้ได้กับทุกคน รวมถึงเจ้าด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอมองเสียจื่ออี้ พลางส่ายหน้าและหัวเราะออกมา ชายหนุ่มยกมือขั้นมาด้านหน้าต้นคอของตนอย่างช้าๆ ทำท่าตัดลำคอไปทางเสียจื่ออี้ “หากจะลงมือ ก็เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว”
เสียจื่ออี้สะบัดข้อมือของตนลง แล้วเดินไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าต้องการเช่นนั้นพอดี เพราะข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ารับหมัดข้าได้ดีเพียงใด”
ทันใดนั้น เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “หมัดเดียวก็ไม่รับ”
เสียจื่ออี้ชะงักไปเล็กน้อย
“ไม่กี่หมัดข้าก็ล้มเจ้าได้แล้ว ผู้ใดพูดว่าจะรับหมัดของเจ้ากัน” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ ทำเอาเสียจื่ออี้หน้าถอดสี “เจ้าเด็กปากร้าย หวังว่าเจ้าจะไม่ได้มีดีแค่ปาก!”
ระหว่างที่พูดนั้น เสียจื่ออี้ก็ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง เดินตรงไปข้างหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วใช้หมัดสายฟ้ามรกตโจมตีกลางศีรษะของอีกฝ่าย!
สายฟ้ามากมายกระจายไปทั่วทั้งร่างของเสียจื่ออี้ ทำให้เขาดูไม่ต่างกับเทพอัสนีเลยสักนิด
ปราณจิตราที่น่ากลัวรวมเข้ากันเป็นจุดเดียว เต็มไปด้วยโลกลวงตาแห่งสายฟ้า บีบอัดจนมีขนาดเท่ากำปั้น คล้ายกับลูกสายฟ้าที่พาดไปทางเยี่ยนจ้าวเกอตามพลังหมัดของเสียจื่ออี้
โลกลวงตาที่กลายสภาพมาจากปราณจิตราของปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาย่อมเหนือกว่าขั้นอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะหดเล็กลงไปมาก ทว่าพลังกลับอัดแน่น
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นปกติ เขาผลักฝ่ามือหนึ่งออกไปด้านหน้าเช่นเดียวกัน ปราณจิตราของเขาราวกับมังกรเพลิงมากมายที่พรั่งพรูออกมา แล้วผสานเข้าด้วยกันในชั่วพริบตา กลายเป็นโลกแห่งเพลิงที่ร้อนแรงใบหนึ่ง!
ในโลกแห่งเพลิงที่ลุกโชน เตากลั่นโอสถสีแดงอมม่วงเตาหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ควบคุมฟ้าดินเอาไว้!
เมื่อภาพฉากนี้ปรากฏ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่อ้าปากตาค้าง
สวีเฟยและถังหย่งฮ่าวที่นั่งปรับลมปราณอยู่ข้างๆ ต่างเผยสีหน้าตกตะลึง
ซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเลที่หลังจากประมือกับถังหย่งฮ่าวก็ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ราวกับว่าการประชุมฝ่านภานี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน บัดนี้สีหน้าของเขาเผยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสงที่เดิมควรจะเป็นจุดสนใจตั้งแต่ปรากฎกาย ตอนนี้กลับทำตัวถ่อมตนราวกับไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น แววตาที่เป็นประกายของเขาจับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ
จางเหยาเปิดปากกล่าวออกไปว่า “ปราณจิตรากลายเป็นโลกลวงตา?! ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลาง!”
นางเบือนหน้ากลับไปมองเซี่ยโยวฉานและหร่วนผิง “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งอยู่ในขั้นเคียงนภาหรอกหรือ”
เวลานี้หร่วนผิงไม่สนใจภาพลักษณ์แล้วเช่นเดียวกัน เขาอ้าปากค้าง และมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกออย่างเหม่อลอย
บัดนี้เป็นเซี่ยโยวฉานที่นิ่งเงียบไม่พูดจา ตัวเขาเองก็เสียดายในภายหลังเช่นกันที่ไม่ได้ทดสอบเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนั้น เคราะห์ดีที่เซี่ยโยวฉานสั่งให้หยุดได้ทันเวลา
คนอื่นๆ ในเหตุการณ์ตื่นตกใจ ส่วนเสียจื่ออี้นั้นยิ่งอ้าปากตาค้าง “ตอนที่โจมตีหลิวเซิ่งเฟิง ไม่ใช่ว่าเพิ่งอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้นหรอกหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ปิดบังพลังฝึกปรือเอาไว้ล่วงหน้า แล้วโจมตีคู่ต่อสู้จนรับมือไม่ทัน ทว่าแสดงพลังความสามารถของตนออกมาตั้งแต่เป็นในทีแรก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี