ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 209

ปีที่แล้วๆ มาสือซงเทาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างกระตือรือร้นและจริงใจ มนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม วันถึงแก่กรรมทุกๆ ปีจึงมีสหายเก่าจำนวนไม่น้อยมากราบไหว้เคารพศพ เพียงแต่ทุกคนล้วนเป็นที่รู้กันว่าหลีกเลี่ยงยามฟ้าสาง

นอกจากตัวสือเถี่ยแล้ว ก็มีเพียงศิษย์รับสืบโดยตรงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะเดินทางมาหน้าหลุมฝังศพสือซงเทาพร้อมกับเขาได้

เยี่ยนจ้าวเกอมีใจจะมาที่นี่ แน่นอนว่าสือเถี่ยไม่ปฏิเสธ

หลังจากรอกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอทำความเคารพหลุมฝังศพสือซงเทาด้วยธูปแล้ว สือเถี่ยจึงเอ่ย “พวกเจ้ามีน้ำใจนัก กลับไปพักผ่อนเถิด”

เยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟยสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนจะพาอาหู่ปลีกตัวออกไปพร้อมกัน

ระหว่างเดินไปตามทาง เยี่ยนจ้าวเกอหันกายมองกลับไป ก็เห็นเงาร่างของสือเถี่ยยังคงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

สวีเฟยที่อยู่ข้างกายทอดถอนใจ “ท่านอาจารย์ยังคงตำหนิตนเองอยู่”

ครั้นแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนใจตามเช่นกัน ในฐานะคนส่วนน้อยที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เขารู้ว่าคำพูดของสวีเฟยหมายความเช่นไร

ปีที่ผ่านมา ครอบครัวสือซงเทาทั้งสามประสบเคราะห์ร้ายสิ้นชีพ แท้จริงแล้วสือเถี่ยมีโอกาสเข้าช่วยเหลือ ทว่าประสบกับสถานการณ์อันตรายพอดี ดูแล้วผลประโยชน์สำนักเขากว่างเฉิงก็ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นกัน และในบรรดาผู้คนในเหตุการณ์ ณ ขณะนั้น มีเพียงแค่สือเถี่ยที่มีความสามารถหยุดยั้งได้

ผลลัพธ์คือ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ในที่สุดแล้วสือเถี่ยเลือกที่จะปกป้องคุ้มครองทั้งสำนัก กระนั้นเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว บุตรหลานของเขาเองกลับช่วยเหลือไม่ทันกาล สุดท้ายบิดาต้องฝังศพบุตรชายตนเอง

นี่เป็นความผิดหวังเสียใจชั่วชีวิตของสือเถี่ย เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เพื่อที่จะได้ไม่ละอายต่อฟ้าดิน ละอายต่อญาติของตนเองเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

จวบจนปัจจุบัน แม้ว่าจะตั้งสุสานฝังเสื้อผ้าและหมวกแล้วก็ตาม ทว่าจริงๆ แล้วสือเถี่ยยังคงไม่ยอมละทิ้งความหวังสุดท้าย ขอแค่มีโอกาส ก็จะรุดหน้าไปสำรวจและสืบหายังสถานที่ในตอนนั้น ปรารถนาว่าจะมีความเป็นไปได้อันน้อยนิด ว่าครอบครัวของสือซงเทายังคงมีชีวิตรอดกลับมาได้ เพราถึงอย่างไรเสียก็ไม่เคยพบซากกระดูกของพวกเขาเสมอมา

น่าเสียดายที่เวลาห้าปีผ่านพ้นไป ยังคงไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย ความหวังสุดท้ายก็กำลังสูญสิ้นไปทีละนิดๆ

สวีเฟยกระซิบกระซาบกล่าว “หากมีโอกาสอีกครั้ง ท่านอาจารย์จะเลือกทางที่ไม่เหมือนเดิมหรือไม่”

เขารำพึงรำพันกับตนเอง ไม่ได้คาดหวังว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะตอบกลับแต่อย่างใด ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอก็เดินอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ

สวีเฟยทอดถอนใจ กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าจะเศร้าโศกเสียใจ แม้ว่าจะตำหนิตนเอง แม้ว่าจะละอายแก่ใจ แต่ว่าความเป็นไปได้ ยังคงเป็นตัวเลือกที่ไม่ต่างกันกระมัง ท่านอาจารย์เขา…”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามเสียงเบา “ถ้าหากเป็นศิษย์พี่สวีเล่า ระหว่างภาระหน้าที่ที่แบกเอาไว้ กับญาติตัวเอง ท่านจะเลือกอย่างไร”

หลังจากนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน สวีเฟยจึงกล่าวตอบ “ข้าไม่รู้ บางทีในตอนที่เผชิญหน้ากับช่วงเวลานั้นจริงๆ ข้าถึงจะให้คำตอบได้กระมัง”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันอีก เคียงไหล่รุดไปข้างหน้า ถึงทางแยกจากสายหลักแล้ว จึงกุมกำปั้นที่หน้าอกคารวะต่อกัน กล่าวลากันตรงนี้ ต่างคนต่างกลับที่พำนักของตนเอง

ครั้นถึงที่พำนักของตน เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิตัวตรง ปิดเปลือกตาทั้งสอง สงบจิตสงบใจลง ตกตะกอนความรู้สึกนึกคิด

ประเดี๋ยวเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยันต์ทองใบหนึ่งออกมาจากหน้าอก

ยันต์ทองใบนี้ เขาได้มาหลังจากที่สังหารเสียจื่ออี้ผู้ตกเป็นมารในเขตไอมาร ตอนอยู่ที่ทะเลสาบปิดนภา

ชายหนุ่มมองดูลายริ้วที่ทั้งลี้ลับอีกทั้งซับซ้อนบนพื้นผิวยันต์ทอง พลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ‘เหมือนกับเป็นอักษรรูปแบบหนึ่งที่พิลึกพิลั่นไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นสิ่งของที่ปรากฏขึ้นหลังเกิดวิกฤตการณ์ใหญ่’

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะขื่น เหมือนเช่นสิ่งของที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ในตอนแรกไม่มีผิด สิ่งของที่ปรากฏหลังจากวิกฤตการณ์ใหญ่ ทว่าเทียบกับปัจจุบันแล้วกลับค่อนข้างเก่าแก่เสียอย่างนั้น ที่ทำให้เขาจนปัญญามากที่สุดคือ ติดอยู่ที่ช่วงต่อที่ความรู้สะสมของเขาอ่อนที่สุดพอดิบพอดี

ถึงกระนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็กำลังพยายามชดเชยจุดอ่อนในด้านนี้ของเขาอยู่เช่นกัน บัดนี้มองดูยันต์ทองอยู่ กลับไม่ใช่การจัดการที่ไร้การเริ่มลงมือแต่อย่างใด

‘มีบางส่วนคล้ายตัวอักษรของเขตพื้นชายขอบฝั่งเหนือ ที่สืบต่อกันมาในกลุ่มคนส่วนน้อยในพื้นที่เท่านั้นหรือ?’

หลังเยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เขาก็สั่งบ่าวรับใช้ “ไปนำตำราด้านอักษรโบราณที่สืบทอดต่อกันในพื้นที่ส่วนเหนือของเกาะจินมาให้ข้า มีเท่าใดก็นำมาเท่านั้น ยุคสมัยยิ่งเก่ายิ่งดี”

ในบรรดาเกาะทั้งหกของอัสนีพิภพ เขตพื้นที่ที่อยู่ด้านเหนือติดกับทะเลน้ำชายขอบฝั่งเหนือ ก็คือเกาะจิน

ไม่นานนักก็มีจอมยุทธ์ชุดดำส่งของที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการมา

หลังจากใช้เวลาสำรวจอย่างละเอียดพักหนึ่ง ในใจเยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร เขาเคาะนิ้วลงบนยันต์ทองนั่นเบาๆ ปลายนิ้วเลื่อนไปตามริ้วลวดลายยันต์ทอง วาดรอยทีละเส้น

รอยเหล่านั้นคงอยู่บนพื้นผิวยันต์ทอง ยาวนานไม่สลายไป

เยี่ยนจ้าวเกอชักนิ้วมือกลับ เพ่งมองลายเส้นบนยันต์ทองที่มีแนวโน้มว่าจะครบถ้วนสมบูรณ์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายตบฝ่ามือลงไปบนยันต์สีทอง

ยันต์ทองพลันปะทุแสงแวววาวเจิดทันใด กลายเป็นแสงเรืองรองเป็นดวงๆ มลายหายไปในที่สุด

เห็นดังนั้น ใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับเผยเห็นรอยยิ้มพอใจ จากนั้นก็เห็นแสงทองเป็นดวงๆ เหล่านั้นพลิ้วไหว เกาะกลุ่มไม่กระจัดกระจาย กลายเป็นหมอกแสงโดยรอบ ลอยอยู่ในกลางอากาศ

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ประหนึ่งกับวาฬดูดน้ำก็ไม่ปาน หมอกแสงโดยรอบเหล่านั้นพลันถูกเขาสูดเข้าไปจนหมดสิ้นทันที

มีเสี้ยวขณะหนึ่ง ที่ภายในใจเยี่ยนจ้าวเกอ บังเกิดความรู้สึกร้อนระอุขึ้น

ด้วยระดับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ แต่ละอวัยวะภายในร่างกายล้วนผ่านการฝึกฝนและทดสอบมาอย่างโชกโชนแล้ว

ความรู้สึกไม่สบายเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นไม่นานนักก็ค่อยๆ หายไป

เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจภายในร่างกายตนเอง เขาพบว่าแสงทองเป็นดวงๆ ปลิวไหวไม่หยุด กระจายติดอยู่บนพื้นผิวเส้นเลือดทุกเส้น ประหนึ่งชุบแสงสีทองพร่างพราวให้แก่เส้นเลือดภายในร่างกายตนชั้นหนึ่ง

ต่อให้เป็นเส้นเลือดที่เล็กที่สุด ละเอียดเป็นเส้นฝอยที่สุด ก็ไม่เว้นเช่นกัน

เขาหายใจขับสารพิษอย่างสงบเงียบ ระหว่างที่เลือดลมโคจรอยู่นั้น เลือดหลั่งไหลประดุจหินหนืดที่ร้อนผ่าว ส่งเสียงคำรามกึกก้องออกมา

หลังจากโคจรปราณจิตราสามสิบหกรอบแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บกระบวนท่า แสงทองทอประกายบนผิวหนังวับวาบแล้วก็หายไป

ครั้นผุดลุกขึ้นจากพื้นมา ชายหนุ่มลูบคางของตนเอง “มีบางเรื่อง เหมือนกับจะวางเป็นประเด็นสำคัญได้แล้วเช่นกัน”

ขณะที่คิดเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็สะบัดมือ แสงสว่างไสวสองสามสายส่องสว่างวาบผ่านไปลอยอยู่ในอากาศ กลับเป็นอาวุธวิญญาณระดับล่างแต่ละชิ้น

เสื้อเกราะภูผาวิญญาณ กระบี่เผาไหม้ กระบี่ผนึกหมอก กงจักรเพลิงสุริยะ กระบี่อัสนีทองคำม่วง และดาบอัสนีบิน

นอกจากดาบแสงคลื่นคราม อาวุธวิญญาณระดับกลาง กับกระบี่วิญญาณมังกรมรกต ของล้ำค่าติดกายเสมอมาของเยี่ยนจ้าวเกอเองแล้ว อาวุธวิญญาณระดับล่างโดยส่วนมากที่อยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว

จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธรบติดป้ายสืบทอดหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นทั้งสิ้น

เจ้าของเดิมของอาวุธวิญญาณเหล่านี้ แบ่งออกเป็น หลิวเซิ่งเฟิง จ้าวฮ่าว เสียจื่ออี้ เซียวเซิง เยี่ยนซ่าน และหลินโจว

เพียงแค่รายนามพวงนี้ กับอาวุธวิญญาณแต่ละชิ้นเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์รุ่นเดียวกันคนอื่นชื่นชมสิ่งที่ได้เห็นว่าดีงามอย่างที่สุดแล้ว

หากเยี่ยนจ้าวเกอนำอาวุธที่ยึดมาจากศัตรูของตนเปิดเป็นงานชุมนุมแสดงอาวุธ คาดว่าคงจะมีคนไม่น้อยโกรธจนกระอักเลือดออกมา

ด้วยพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้นั้น โดยส่วนมากในชั่วขณะเดียวกัน สามารถขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างได้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นละก็ หากไม่สลับเปลี่ยนใช้ ก็ต้องนำมาใช้เป็นอาวุธลับ อาศัยชั่วครู่ที่ตัดการเชื่อมต่อนั้นระเบิดพลังโจมตีศัตรู หรือไม่ก็ตรึงอาวุธวิญญาณของคู่ต่อสู้

มีอาวุธวิญญาณมาก ทุบคู่ต่อสู้ให้สิ้นไปเสีย ประโยคนี้ไม่ใช่แค่ล้อเล่นเท่านั้น

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอจนบรรลุระดับมหาปรมาจารย์แล้ว อาวุธวิญญาณเหล่านี้จึงจะสามารถใช้พร้อมกันตามต้องการได้

เพียงแต่ชายหนุ่มมีความคิดอื่น แม้ว่าด้วยความเร็วในการพัฒนาของตน ระดับมหาปรมาจารย์ไม่ได้ห่างไกลแต่อย่างใดก็ตาม

หลังจากครุ่นคิดอีกครั้งครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ชี้นิ้วเบาๆ เก็บเสื้อเกราะภูผาวิญญาณ กงจักรเพลิงสุริยะ และดาบอัสนีบิน เหลือไว้เพียงแค่กระบี่เผาไหม้ กระบี่ผนึกหมอก และกระบี่อัสนีทองคำม่วง อาวุธชนิดกระบี่สามเล่มเท่านั้น

บทที่ 210 การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่
เตาผลึกหินชั้นในส่งเสียงดังโครมครามออกมา ธารแสงระยิบระยับเปี่ยมไปด้วยสีสัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี