ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 60

สรุปบท บทที่ 60 ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง!: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตอน บทที่ 60 ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง! จาก ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 60 ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง! คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายต่างโลก ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ผู้อาวุโสฉินนั่งนิ่งไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองข้างมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วเปลี่ยนไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

แววตาของท่านผู้นี้ แข็งกร้าวราวกับจะหลอมเป็นวัตถุ เขาจ้องมองไปที่ข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง คล้ายกำลังตรวจจับชีพจรด้วยแววตา

เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ หลังจากชั่วครู่หนึ่งผู้อาวุโสฉินก็เก็บสายตากลับคืน

“ชีพจรของนางเคยเป็นจันทรากายอย่างแท้จริง แต่บัดนี้พลังหยินสะท้อนกลับอย่างรุนแรง จนสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว เพียงแต่ว่าเก่งกาจกว่าคนปกตินิดหน่อยเท่านั้น”

ผู้อาวุโสฉินมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพยักหน้าช้าๆ “อย่างไรก็ต้องตรวจสอบคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วถึงจะตัดสินได้ในท้ายที่สุด”

เหยียนซวี่และคนอื่นก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ได้เหนือความคาดหมายของพวกเขาแต่อย่าใด

ทว่าหลังจากนั้นผู้อาวุโสฉินชะงักไปเล็กน้อย สายตาที่มองไปยังเฟิงอวิ๋นเกอมีความเสียดายปะปนอยู่ “พรสวรรค์ของนางโดดเด่นกว่าคนทั่วไป ไม่รู้ว่าการทำความเข้าใจและนิสัยของนางเป็นอย่างไร”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะนางประสบกับอุบัติเหตุ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก แท้จริงแล้วก็คือนางขอรับ”

“เหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือนางได้เข้าเป็นศิษย์ในสำนักก่อน แต่อย่างน้อยๆ ที่ทราบได้ก็คือ นางไม่ได้ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านแน่นอน”

เมิ่งหว่านไม่ได้เป็นเพียงสตรีจันทรา พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ติดตัวนางก็ไม่ธรรมดา นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน

พลังของนางแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน แม้กระทั่งมีโอกาสได้เป็นรุ่งอรุณทั้งสี่อยู่รางๆ

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวว่า “เพียงแต่หากตอนนั้นศิษย์น้องเฟิงทำให้เซียวเซิงบาดเจ็บบริเวณอื่น ที่ไม่ใช่การตัดตอนเป็นขันทีเช่นนี้แล้วล่ะก็ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นต้องหลบหนีเช่นนี้ก็เป็นได้”

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า แล้วไตร่ตรองอีกครั้ง

หากพรสวรรค์ของเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นธรรมดาสามัญ เช่นนั้นแล้วรับตัวนางไว้เพียงแค่เพราะเกลียดชังสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเขากว่างเฉิงแล้วไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้สมานฉันท์กัน ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะไม่ยอมซึ่งกันและกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้

ถ้าเป็นเมืองทะเลมรกต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีพิภพ กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสัมพันธ์เสมือนน้ำกับไฟ เช่นนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้

ลองคิดดูจากมุมอื่นแล้ว ที่นั่นคงดีที่สุดสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิง

เพียงแต่ว่าวารีพิภพอยู่ไกลจากนภาพิภพและอัคคีพิภพเกินไป การที่เฟิงอวิ๋นเซิงจะหลบหนีจากการไล่ล่าไปยังวารีพิภพเพียงลำพังนั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับนางที่สุด

หากในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอไม่รั้งนางเอาไว้ และไม่จับนางส่งให้เซียวเซิงแล้วล่ะก็ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เตรียมตัวที่จะเสี่ยงอันตรายมุ่งหน้าไปวารีพิภพเพียงลำพัง

ทว่าบัดนี้ หลังจากที่ผู้อาวุโสฉินตรวจสอบพบแล้วว่าแม้นางจะสูญเสียจันทรากายไป ถึงกระนั้นตัวนางก็ยังเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ และเป็นสตรีที่คุ้มค่าแก่การบ่มเพาะ

นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสฉินและเขากว่างเฉิงสับสนอยู่บ้าง

ผลพวงที่จะได้รับกับราคาที่ต้องจ่าย จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ที่จริงแล้วมีวิธีที่จะฟื้นฟูจันทรากายของศิษย์น้องเฟิงกลับคืนมาได้ขอรับ”

ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงมองไปที่เฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง

ครั้งนี้เขายกมือขึ้นชี้นิ้วไปในอากาศ แสงสายหนึ่งก็พุ่งออกจากนิ้วมือของเขา ก่อนจะตกลงบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

หลังจากตรวจสอบสภาพของเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว ผู้อาวุโสฉินก็มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางถามเสียงต่ำว่า “เจ้าพูดเช่นนี้จะยืนยันด้วยอะไร”

เหยียนซวี่ก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่งเช่นกัน พลางจ้องมองบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

ชั่วขณะหนึ่ง เหยียนซวี่ก็ละสายตากลับมา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พูดว่าได้รับความเสียหายนั่นยังน้อยไป ไม่ใช่แค่เพียงได้รับความเสียหายแล้ว แต่หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วต่างหาก”

“การจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ความยากก็ไม่ต่างอะไรกับการคืนชีพให้กับคนที่ตายไปแล้ว”

“อีกทั้งยังไม่ใช่เพิ่งสิ้นลมหายใจไป แต่เป็นคนที่ตายไปแล้วสองปีต่างหาก”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าว “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบศิษย์น้องเฟิงจวบจนวันนี้ ระยะเวลาไม่ได้ยาวนานแต่อย่างใด”

“รอผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน ปราณหยินของศิษย์น้องเฟิงก็จะแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เท่านี้ก็สามารถยืนยันคำพูดของข้าได้แล้ว”

เหยียนซวี่พูดอย่างเย็นชาอีกครั้ง “เมื่อสองวันก่อนข้าเพิ่งไล่คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับไป ตอนนี้พวกเจ้ากลับมาแล้ว พวกเขาก็คงจะมาหาถึงหน้าประตูในไม่ช้าแน่”

“ถ้าตัดสินก็ต้องตัดสินให้เร็ว ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นมารอให้เจ้าพิสูจน์หรอก”

หางคิ้วเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเบาๆ ครั้งหนึ่ง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าผู้อาวุโสฉินยกมือขึ้นห้ามเขาไว้

ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสร่างสูงใหญ่ของเกาะตะวันออกมองตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าเชื่อก่อนก็ได้ว่าคำพูดของเจ้าเป็นความจริง แต่วิธีของเจ้าจะสามารถช่วยนางฟื้นฟูได้ถึงระดับไหน ได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง หรือสามารถฟื้นฟูกลับได้ดังเดิม หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับระดับที่อยูในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด”

สีหน้าท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอหนักแน่นขึ้นมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “การฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้เวลา อีกทั้งยังมีเงื่อนไขด้านทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่จำเป็น ตอนนี้เงื่อนไขต่างๆ ยังไม่ครบครัน ยังต้องเก็บรวบรวมเพื่อเตรียมพร้อมขอรับ”

“ส่วนจะฟื้นฟูได้ถึงระดับไหนนั้น…” เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับผู้อาวุโสฉินอย่างใจเย็น

“แข็งแกร่งยิ่งกว่านางในตอนนั้น!”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันยิ้มขึ้นมา “หากทำไม่ได้ ข้าจะเข้าหุบเขาผนึกเวหาด้วยตัวเอง”

ผู้อาวุโสฉินมองเยี่ยนจ้าวเกอ แววตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง

เหยียนซวี่ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด ก็มีคนจากด้านนอกเข้ามารายงานว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาถามไถ่เอาความผิด

“ท่านผู้อาวุโสฉิน” เหยียนซวี่มองไปยังผู้อาวุโสฉิน

ชายชราร่างสูงใหญ่มองอย่างหงุดหงิด “ไล่กลับไป ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง!”

……………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี