ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หยวนเจิ้งเฟิง ปราชญ์เทียมนภา ผู้เป็นอาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเป็นเพียงมหาปรมาจารย์เท่านั้น
ในบรรดาเหล่าผู้สืบทอดของสำนัก ผู้ที่โดดเด่นที่สุดสามคนถูกยกย่องว่าเป็นสามวีรบุรุษแห่งกว่างเฉิง ซึ่งก็คือ สือเถี่ย ‘ราชสีห์เหล็ก’ ผู้อาวุโสคุมตำหนักอาญา อาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ
ฟางจุ่น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ ผู้อาวุโสของตำหนักปฏิบัติกิจ อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ
และเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของหยวนเจิ้งเฟิง ผู้อาวุโสของตำหนักสืบวิชากว่างเฉิงในปัจจุบัน
ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงและบรรดาศิษย์ทั้งสี่คน รวมทั้งยอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิงผู้อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ แท้จริงแล้วกลับมีพลังความสามารถเหนือยิ่งกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
ต่อให้ตัดหยวนเจิ้งเฟิงออกไป เมื่อเทียบจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ของเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันแต่อย่างใด
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อมีหวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ปกครองอยู่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ และที่ยิ่งทำให้เขากว่างเฉิงเป็นกังวลในใจก็คือ หยวนเจิ้งเฟิงชราภาพมากแล้ว
ในสถานการณ์ปกติ จริงๆ แล้วหยวนเจิ้งเฟิงถือได้ว่าเป็นช่วงอายุที่รุ่งเรืองมากที่สุด ไม่ได้แก่ชราแต่อย่างใด
ถึงกระนั้นการที่เขาได้รับบาดเจ็บที่รากฐานในตอนนั้น ผลกระทบไม่ได้อยู่ที่จะสามารถสำเร็จขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่เท่านั้น เพราะอาการเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ก็ส่งผลกระทบต่ออายุขัยของเขาด้วยเช่นกัน
ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปมากเท่าใด ความหวังที่หยวนเจิ้งเฟิงจะบรรลุขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ในบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิง ตัวของหยวนเจิ้งเฟิงเป็นความหวังสูงที่สุดในบรรดารุ่นอาวุโสแล้ว
และในรุ่นกลางที่มีเยี่ยนตี๋เป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็มีคนคาดหวังว่าเขาจะสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ทว่าเมื่อพวกเขาเทียบกับหยวนเจิ้งเฟิงแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาและประสบการณ์อีกมาก และสิ่งที่เขากว่างเฉิงขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา
ด้านหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของตน ทำให้ผู้นำสำนักเขากว่างเฉิง หยวนเจิ้งเฟิงไม่อาจกระทำการตัดสินใจเด็ดขาดได้
ในการเข้าฌานอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากไม่ประสบความสำเร็จก็จะเป็นการพลีชีพ
สำหรับสถานการณ์ของสำนักนั้น ในฐานะบุตรชายของเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และรู้นั่ดว่าบัดนี้สิ่งที่เขากว่างเฉิงต้องการมากที่สุดคืออะไร
การที่ความรู้ของเยี่ยนจ้าวเกอมีเพียบพร้อม นั่นก็เนื่องมาจากเขาคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ค้นหา ศึกษา ทดลอง เรียนรู้ แล้วจึงนำไปใช้ อีกทั้งนำหลักการมาปรับใช้กับสถานการณ์จริง
ซึ่งจะสร้างจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลอง
จากขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ จะลำบากแสนเข็ญถึงเพียงใดกัน และต่อให้มีวิธี ทว่าสภาพการณ์ของโลกแปดพิภพในตอนนี้ อีกทั้งเงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อมและทรัพยากรก็ยังยากนักที่จะเติมเต็มความต้องการได้
ถึงกระนั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด
ตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ เขาทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่จนชัดแจ้งแล้ว การศึกษาทดลองที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คืออาการบาดเจ็บเดิมของเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง แม้กระทั่งต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของเตาผนึกหินชั้นในและสิ่งอื่นๆ มากนัก เพียงแต่ระดับความยากของเรื่องนี้ก็มากกว่าเช่นกัน
หากทำได้สำเร็จ ไม่เพียงหยวนเจิ้งเฟิงจะรักษาแผลภายในที่ติดตัวมาเนิ่นนานสำเร็จ ทว่าการบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีหวังมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
การที่หวงกวงเลี่ยเข้าฌานอีกครั้ง สร้างความกดดันให้หยวนเจิ้งเฟิงอย่างยิ่งยวด และเขากว่างเฉิงจำเป็นต้องตัดสินใจเดินหน้าโดยเร็ว ไม่สามารถเล่นบทไหลตามน้ำต่อไปได้อีก
อาหู่เปิดปากพูดอยู่ข้างๆ ว่า “จะว่าไปแล้ว คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ยมักจะไม่ปรากฏตัว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักอาวุโสผู้นั้นจะเป็นคนอบรมบ่มเพาะเขาด้วยตนเอง”
สวีชวนได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คิดว่าก็คงเป็นการชี้แนะง่ายๆ เท่านั้น หวงกวงเลี่ยไม่มีเวลาสอนใครตัวต่อตัวมากถึงเพียงนั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอกลับหรี่ตาลง “คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ย…น่าสนใจนัก”
ทันใดนั้นเอง สวีชวนได้รับข่าวจากลูกน้อง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นในทันที
“นายน้อยเยี่ยน ที่ชายแดนมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกำลังเข้าไปในพื้นที่ของถังตะวันออก ระดับวรยุทธ์และจำนวนไม่แน่ชัด”
ผู้ถูกเรียกผงกศีรษะ “ปล่อยข่าวลวงเรื่องตำแหน่งของพวกเราออกไปสักหน่อย ดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้าม และรักษาการติดต่อกับทางสำนักเอาไว้ พวกเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในการปกปิดร่องรอย”
สวีชวนกล่าวตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางเมืองชมตะวัน เมืองหลวงของถังตะวันออกด้วยแววตาที่หม่นลง
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นจอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
จอมยุทธ์จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนคนมากกว่า ความสามารถส่วนตัวของแต่ละคนก็แข็งแกร่งกว่า ทำให้กลุ่มของจ้าวหยวนในขณะนี้อยู่ในจุดที่อันตรายจนน่าหวาดหวั่นใจมาก
เยี่ยนจ้าวเกอไม่รอช้า นำกลุ่มคนของสวีชวนบุกเข้าไปสังหารในสนามรบจากด้านข้าง
ช่วยคนประหนึ่งกับดับเพลิง เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยั้งมือแม้สักนิด เขาโบกสะบัดกระบี่วิญญาณมังกรมรกตไปมา ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารอีกฝ่ายจนแพ้ราบดั่งภูเขาถล่ม
กลุ่มคนของเขากว่างเฉิงมุ่งสังหารจนไปถึงเบื้องหน้าของจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกผู้นี้จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เพิ่มกำลังพล ข้าพยายามถอนกำลังกลับแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกดักไว้ได้เช่นนี้”
หลังจากได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดในใจ ‘หนทางที่ท่านพี่จะกลับเมืองชมตะวันเป็นเป้าหมายสำคัญที่อีกฝ่ายจะดักซุ่ม พวกท่านเลยปะทะกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้อย่างไรเล่า’
“ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านติดร่างแหไปด้วยก็เพราะข้า จะกลับไปที่เมืองชมตะวันเป็นเรื่องยากนัก อย่างไรก็ไปที่อื่นกันก่อนเถอะ”
ขณะที่พูด คนของเขากว่างเฉิงและถังตะวันออกก็รวมตัวกัน ฝ่าวงล้อมที่สำนักศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นออกไปด้านนอก
หลังจากที่สลัดทหารที่ตามล่ามาได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายถึงมีเวลาว่างพูดคุยกัน จ้าวหยวนเดินพลางส่ายหน้า “จ้าวเกอ เจ้าสังหารเซียวเซิง ชื่อเสียงต้องลือเลื่องไปทั่วหล้า เพียงแต่เจ้าต้องระวังการแก้แค้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ดีเช่นกัน”
‘ถูกข้าพาติดร่างแหไปด้วย ไม่ได้หมายถึงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจ
ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังนึกคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
อาหู่ สวีชวน และปรมาจารย์เคียงนภาคนอื่นๆ ก็ทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลออกไป
บริเวณนั้น มีดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นระหว่างแนวเทือกเขาอย่างเชื่องช้า กลางพระอาทิตย์สีทองนั้นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เป็นชายชราที่มีดวงตาข้างเดียวคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีทอง ใบหน้าเหลี่ยม หูกาง
ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์!
………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี