ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 9

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ลงมือทำทันที หลังจากตรวจสอบปราการมังกรได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนต่างหยุดพักผ่อน ส่วนเขานั่งลงขัดสมาธิ

ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงสายตาของเยี่ยจิ่งที่จับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ

“สักวันข้าต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ แล้วจะรอดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เจ้าจะยังทำตัวสูงส่ง หยิ่งยโสเช่นนั้นได้อีกหรือไม่…”

นอกจากความแค้นครั้งเก่าแล้ว เมื่อเยี่ยจิ่งต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ เขาก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น

เหมือนกับมีบางอย่างดึงดูดให้เข้าหากัน แต่ที่มากกว่านั้นคือความขุ่นเคืองใจและความเกลียดชัง

ราวกับคู่ปรับฟ้าลิขิตที่ทำให้ลึกๆ ภายในใจของเขารู้สึกเหมือนตนเองถูกกดอัดไว้ เมื่อเข้าใกล้แล้วจะรู้สึกอึกอัด

‘ก่อนหน้านี้ที่วิหารปฏิบัติกิจของสำนัก เชื้อไฟสัจจะอัคคีที่เขาพูดถึง ก็มีประโยชน์กับข้ามากเช่นกัน’ เยี่ยจิ่งคิดในใจ ‘ถ้าไปขอหยิบยืมใช้ประโยชน์ หลังจากตกไปอยู่ในมือเขาแล้ว เช่นนั้นก็น่าสมเพชสิ้นดี…’

ขณะที่เยี่ยจิ่งกำลังขบคิดนั้น ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น

บัดนี้ซือคงจิงและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน เพราะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังกลืนเอาหมอกดำที่ทุกคนต่างกลัวจนต้องหลบ!

ในสายตาของพวกเขา การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง!

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ใส่ใจความคิดของคนอื่นเลย เมื่อมองเข้าไปภายในร่างกายตนเอง เขาพบว่าปราณพิษกำลังรวมตัวกันภายใต้การควบคุมด้วยวิชาลับ จากนั้นแรงกระเพื่อมของปราณจิตราก็หมุนวนอย่างต่อเนื่อง ราวกับกลายเป็นหินลับมีดไปแล้ว

ในขณะที่กำลังหมุนวนอยู่นั้น ปราณจิตราภายในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็คมกริบขึ้นเรื่อยๆ เพราะหินลับมีดนี้ และรู้สึกเหมือนกับปราณกำลังไหลซึมออกจากร่างกาย!

‘เยี่ยมมาก เทียบกับตอนฝึกตามปกติแล้ว ผลลัพธ์สูงขึ้นสามถึงห้าเท่า หรือแม้กระทั่งมากกว่านั้น แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เหมาะใช้กับการเปลี่ยนจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกในตอนนี้ก็ตาม แต่ก็ประหยัดเวลาข้าไปได้เยอะเลย ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว’

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วหยุดการฝึกลงก่อนชั่วคราว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าทุกคนกำลังมองตนด้วยความตกตะลึงและงุนงง

‘เดินในทางที่ต่างจากปกติ ก็จะดึงดูดสายตาจากคนอื่นได้ง่ายเช่นนี้…’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปากพลางพูดในใจว่า ‘ชีวิตที่เป็นจุดสนใจของข้าคนนี้ไม่ต้องการคำอธิบายจริงๆ’

นัยน์ตาของศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งเหมือนกับเกิดความเข้าใจอันถ่องแท้ “ปราการมังกรเกิดความผิดปกติ หมอกดำทะลักออกสู่ภายนอกมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา อีกทั้งยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยและยากที่จะคาดเดา”

“ศิษย์พี่เยี่ยนใช้วิธีรับหมอกเข้าร่างกายไปเพื่อที่จะศึกษาสาเหตุอย่างละเอียดใช่หรือไม่ เพียงแต่ทำเช่นนี้มันเสี่ยงอันตรายมากเกินไปนะขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกออึ้งไปชั่วขณะ ไม่อาจหาคำมาบรรยายจินตนาการของคนกลุ่มนี้ได้ในทันที

ทุกคนก็พลันพยักหน้าพร้อมกันด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

เยี่ยจิ่งยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เขาใช้นิ้วมือลูบบนแหวนสีแดงคล้ำวงนั้นของตนเองเบาๆ ตามสัญชาตญาณ

เมื่อเห็นท่าทางของเขา เยี่ยนจ้าวเกอก็กลอกตาขาวอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ‘เขามีแหวนวงหนึ่งจริงๆ ด้วย…’

เยี่ยจิ่งสามารถตั้งตัวและมีวรยุทธ์แก่กล้าได้อย่างรวดเร็วก็เพราะมีวิชาลับ แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีวรยุทธ์อะไร ทว่าเขาคิดถึงจุดที่ผู้อื่นยืนเสมอ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเลย

คนอื่นๆ ล้วนชื่นชมและนับถือทั้งนั้น “ต่อให้เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์แก่กล้ามากกว่าศิษย์พี่เยี่ยน ก็ใช่ว่าจะกล้ากลืนหมอกดำเข้าไปตรงๆ เช่นนี้จริงหรือไม่”

สำหรับพวกเขาแล้ว หมอกดำเหล่านั้นอาจคร่าชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา ทว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้วกลับดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“เอาเถอะ ยังไงพวกเจ้าก็อย่าทำเลียนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นจะเป็นการเปิดประตูให้โจร ล่อหมาป่าเข้าบ้านจะมีอันตรายเอา” เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน สะบัดเสื้อเบาๆ แล้วเดินนำออกไป คนอื่นๆ จึงรีบเดินตามไป

ในตอนนี้ด้านหลังมีเงาของชายร่างสูงคนหนึ่งตามมาถึงอย่างรวดเร็ว เดินตามเยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนมาติดๆ คนคนนั้นก็คืออาหู่

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่ออาหู่เดินตามมาถึงข้างกาย จึงส่งกระแสจิตไปว่า ‘คุณชาย ได้ข่าวแล้วขอรับ’

‘ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าหลังจากการประลองย่อยของลูกศิษย์เข้าใหม่ เยี่ยจิ่งเป็นที่เข้าตาของท่านผู้อาวุโสสือขอรับ’

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวดว่า ‘คุณชาย ดูท่าครั้งนี้ท่านคงต้องดูแลเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นจริงๆ สักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นหากเขาตายในปราการมังกรขึ้นมา แม้ท่านจะไม่ใช่ผู้ลงมือ ท่านก็ต้องแบกรับความผิดครั้งนี้แน่ขอรับ’

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก แล้วพูดในใจว่า ‘พอแล้วกระมัง คนที่มีรัศมีตัวเอกเช่นนี้ จะตายได้ง่ายๆ ขนาดนั้นที่ไหน’

‘หลังจากข้าเข้าไปในปราการมังกรแล้ว การติดต่อระหว่างภายในและภายนอกคงต้องเป็นหน้าที่เจ้า ลำบากเจ้าหน่อยที่ต้องวิ่งไปๆ มาๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ อาหู่จึงรีบพยักหน้าตอบรับ

เหล่าลูกศิษย์เดินอยู่ในปราการมังกร เส้นทางที่ใช้ตะเกียงควันไฟทำขึ้นก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

ชายหนุ่มชะลอฝีเท้า ก่อนจะใช้คาถาตรวจสอบ แล้วหยิบเทียนสีเขียวเล่มหนึ่งขึ้นมาจุด จากนั้นจึงเดินเข้าไปในหมอกดำหนาทึบตรงหน้า คนอื่นๆ เองก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับเดินตามหลังเยี่ยนจ้าวเกออย่างระมัดระวัง

เมื่อเดินพ้นจากบริเวณที่ปิดผนึกเอาไว้ หมอกดำที่อยู่รอบกายก็โหมกระหน่ำเข้ามาทันที ราวกับโดนคลื่นสูงซัดสาดใส่

หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่คอยต้านอยู่ข้างหน้า ต่อให้คนอื่นๆ มีเทียนไฟก็ยากที่จะยื้ออยู่ได้นาน

“อย่างที่คิดไว้ ปราณพิษเข้มข้นขึ้นมาก ทั้งยังเคลื่อนตัวเร็วกว่าเมื่อก่อนด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกก่อกวนจากบางสิ่งบางอย่าง” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบด้าน สายตามองผ่านหมอกดำที่ปกคลุมหนาแน่นเหล่านั้นไป

ตรงหน้ามืดสนิท ด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว มองเห็นเพียงสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเท่านั้น

ชายหนุ่มเห็นแสงสีแดงวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าผ่าลงมาในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในน้ำลึกปราการมังกร

ไม่ต้องรอให้เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่ง อาหู่ก็ยื่นมือออกไปคว้าในอากาศ

เมื่อเก็บมือกลับมาก็พบว่ากลางฝ่ามือมีรอยสีแดงหนึ่งเส้นกำลังส่องแสงอ่อนๆ ในความมืด คล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันขยับไปมาไม่หยุด เหมือนกับกำลังจะเจาะแทรกเข้าไปในผิวหนัง

“เป็นสิ่งที่มาจากต่างแดน…” เยี่ยนจ้าวเกอมองครั้งหนึ่ง แล้วหรี่ตาลงทันที “ดูแล้วไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นหายนะจากฝีมือมนุษย์จริงๆ ด้วย”

…………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี