“ท…ท่านประธาน ตอนนี้เราแย่แล้ว! จู่ ๆ เครือฮ่าวหรานก็ยกเลิกสัญญาการค้ากับเราทั้งหมด แถมบริษัทอื่น ๆ ที่เราทำการค้าด้วยก็ทยอยยกเลิกสัญญาที่ทำเอาไว้กับเราไปตาม ๆ กัน และยังไม่รวมถึงพวกผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างก็พากันเทขายหุ้นบริษัทของเราอย่างไร้เหตุผลจนราคาหุ้นบริษัทดำดิ่งอย่างรุนแรง หากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราล้มละลายแน่! ท่านไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจไว้หรือเปล่าท่านประธาน!?”
ปลายสายเล่าถึงสถานการณ์ในตอนนี้ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกสุดขีด
แน่นอนว่าข่าวนี้ทำให้ชายวัยกลางคนถึงกับทรุดลงไปที่พื้น ก่อนที่จะมองหน้าอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาหวาดกลัว
“อ…อาเปียว แกพูดว่ายังไงนะพูดใหม่อีกทีสิ!”
ชายวัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเมื่อครู่ เขาจึงถามย้ำขึ้นอีกครั้ง โดยที่ยังมองอวี้ฮ่าวหรานราวกับเห็นผี
“บ…บริษัทของฉันกำลังจะล้มละลายงั้นเหรอ???”
ผู้ปกครองที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ เมื่อได้ยินบทสนทนานี้ พวกเขาต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสน
หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่งและได้รับคำยืนยันจากคนของตัวเองอีกครั้ง ชายวัยกลางตื่นตระหนกจนจับโทรศัพท์ไม่อยู่ เขาทำโทรศัพท์ร่วงลงไปที่พื้นก่อนที่จะเอ่ยถามอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“นี่…นี่เป็นฝีมือของแกงั้นเหรอ?”
เสียงของเขาสั่นเทิ้ม เขาไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถล้มบริษัทของเขาได้จริง ๆ แถมยังทำมันได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ!
นี่เขาไปล่วงเกินตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่!?
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างเยาะเย้ยและตอบกลับ “ที่ทุกอย่างมันเร็วขนาดนี้เป็นเพราะบริษัทของแกมันกระจอกเมื่อเทียบกับบริษัทของฉัน!”
หากเทียบความใหญ่โตและอิทธิพลกันแล้ว บริษัทจิ่นหลานไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมซึ่งเครือฮ่าวหรานสามารถบีบคอให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
“น…นี่นายเป็นใครกันแน่??”
ตอนนี้น้ำเสียงของชายวัยกลางคนเริ่มอ่อนลงแล้ว เขาไม่หลงความอวดดีที่มีก่อนหน้านี้อีกต่อไป สีหน้าของเขาตอนนี้มีแค่ความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
แค่การโทรออกครั้งเดียวสามารถบดขยี้บริษัทของเขาได้ภายในครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้โกหกเขาเพื่อขู่เล่น ๆ แต่คน ๆ นี้คือของจริงที่เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้!
‘พลั่ก!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายวัยกลางคนรีบคุกเข่าลงทันที จากนั้นเขารีบคลานเข่าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“ผ…ผมผิดไปแล้ว! ผมขอโทษ ๆ ได้โปรดเถอะ! ได้โปรดปล่อยบริษัทผมไป! ผมยอมเห่าเป็นหมาก็ได้ แต่ได้โปรดให้อภัยผมสักครั้งเถอะ!”
ชายวัยกลางคนคุกเข่าและกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอความเมตตาอย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งภาพนี้มันทำให้ผู้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างอ้าปากค้าง
พวกเขาสลับมองระหว่างชายวัยกลางคนและอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ชายหนุ่มคนนี้…เป็นผู้มีอิทธิพลงั้นเหรอ?
เขาสามารถทำให้ประธานบริษัทจอมหยิ่งผยองคุกเข่ากราบได้ถึงขนาดนี้เลยเนี่ยนะ?
ในขณะเดียวกัน หลิวว่านฉิงซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่เช่นกันก็ตกตะลึงจนตาค้าง
เธอยังจำได้เลยว่าตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นี้พาลูกมาสมัครเรียน ผู้บริหารของโรงเรียนถึงกับต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีอิทธิพลขนาดไหน
แต่ตอนนี้ชายวัยกลางคนคนเดียวกันกลับคุกเข่ากราบชายหนุ่มรุ่นราวคราวรุ่นน้องตัวเองอย่างไม่กลัวอายแบบนี้เนี่ยนะ?
มันคงเป็นความจริงใช่ไหมที่ชายหนุ่มซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูก แท้จริงแล้วคือบุคคลที่มีอำนาจมากในเมือง?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]