เมื่อยามอาทิตย์อัสดง ลำแสงสีทองสาดส่องลงมา โลกทั้งใบราวกับถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีทองอร่าม หมู่บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบและยากจนแห่งนี้งดงามราวกับภาพวาด
เสียงเห่าหอนของสุนัข เสียงร้องไห้ของเด็กทารก เสียงสาปแช่งและด่าทอของสตรี ทุกเสียงทำให้ภาพอันสวยงามนี้มีชีวิตชีวา
ลู่อี้แบกสัมภาระไว้บนบ่าและเดินเหินอย่างรวดเร็วราวกับบินได้
เขามีรูปร่างสูงใหญ่และสีหน้าไร้อารมณ์ แม้เขาจะดูเชยและไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็สง่างาม ไร้ซึ่งส่วนใดให้ตำหนิ
“ลู่อี้ กลับมาแล้วหรือ?”
“อืม”
“ลู่อี้ เดี๋ยวก่อน…”
อวี๋ซื่อวางทารกที่กำลังร่ำไห้ไว้ในอ้อมแขนของลูกสะใภ้ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาหาเขา
ลู่อี้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสุภาพ
“วันนี้เจ้าไม่อยู่บ้าน คงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเจ้า”
ลู่อี้ขมวดคิ้ว “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?”
อวี๋ซื่อบอกเล่าเรื่องที่มู่ซืออวี่ขายสูตรหมูตุ๋นให้กับหัวหน้าหมู่บ้านและส่งต่อกิจการหมูตุ๋นให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตำหนิสิ่งใด
“หากนางขายตำราประดิษฐ์งานไม้ให้กับคนในหมู่บ้านด้วย เราก็คงรู้สึกขอบคุณไม่น้อย แต่ในขณะที่ครอบครัวเจ้ากำลังประสบกับความยากลำบาก รู้หรือไม่ว่านางกล่าวสิ่งใด? นางบอกว่าจะส่งเสี่ยวหานเข้าไปเรียนในสำนักศึกษา”
หลังจากได้ยินอวี๋ซื่อกล่าว ลู่อี้ก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
“เรื่องราวมีเพียงเท่านี้หรือ?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ? นางแต่งเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว ก็ไม่ควรเอาครอบครัวเดิมของตนเข้ามาลำบากผู้อื่น”
ลู่อี้จ้องมองตาเขม็งและกล่าวอย่างหมดความอดทน “นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา ดังนั้นนางมีสิทธิ์ตัดสินใจ”
เมื่อเห็นว่าการยั่วยุไม่ประสบผลสำเร็จ หญิงตรงหน้าเขาก็เบิกตากว้าง “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่?”
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลถึงครอบครัวของเรา” ลู่อี้หมดความอดทน เขาหยิบสัมภาระและเดินจากไปทันที
หลังจากเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดฝีเท้าและเอ่ยโดยที่ไม่หันกลับมามอง “ไม่ว่าชาวบ้านจะพูดอะไร ท่านจงจำคำของข้าไว้ให้ดี ในครอบครัวของเรา นางคือหัวหน้าครอบครัว และข้าก็สนับสนุนทุกการตัดสินใจของนางอย่างไม่มีเงื่อนไข”
อวี๋ซื่อกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
มู่ซืออวี่ขายตำราประดิษฐ์งานไม้ให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึง แต่มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่ามีผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้ อวี๋ซื่อบังเอิญเดินผ่านบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน จึงได้ยินการสนทนาของพวกเขาพอดี เนื่องจากมองไม่เห็นผู้ใดภายนอกบ้าน พวกเขาจึงไม่รู้ว่านางได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
แม้ตำราการประดิษฐ์งานไม้จะช่วยหาเงินให้กับทุกคน แต่เมื่อรู้ว่ามู่ซืออวี่ได้รับเงินก้อนโตขนาดนั้น ผู้ใดบ้างจะไม่อิจฉา?
เมื่อก่อนครอบครัวของอีกฝ่ายยากจนและซอมซ่อ แต่ตอนนี้กลับดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ อวี๋ซื่อไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงผู้นั้นเรียนรู้ทักษะเหล่านี้มาจากที่ใด จู่ ๆ ถึงกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน
“ท่านพ่อ!!” ลู่จื่ออวิ๋นมองเห็นลู่อี้กำลังหอบหิ้วสัมภาระมายังหน้าประตู จึงตะโกนขึ้นมาอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้ว”
ลู่อี้วางสัมภาระลง จ้องมองลูกสาวที่ดูเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบินวิ่งเข้าไปในห้องครัว แล้วดึงมือหญิงที่เปื้อนไปด้วยแป้งเดินออกมา
ภรรยาแสนสวย ลูก ๆ ตัวน้อย บ้านอันแสนสงบ ความสุขนั้นแสนจะเรียบง่าย
“เจ้าหิ้วอะไรมาด้วย?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“บะหมี่ข้าว” ลู่อี้กล่าว “ที่ร้านขายอาหารวันนี้มีข้าวใหม่ ข้าเห็นว่าเม็ดมันเรียงตัวสวยเลยนำกลับมาด้วย ข้าหยิบยืมมาจากศาลาว่าการ จะนำกลับไปคืนในวันพรุ่งนี้”
ลู่ฉาวอวี่เดินออกมาจากห้อง ยื่นกระดาษในมือให้กับลู่อี้ “นี่คืองานเขียนของข้า ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ฉาวอวี่ได้ทดลองเขียนหนังสือบนกระดาษ ไม่ว่าเขาจะดูสงบนิ่งมากเพียงใด แต่สีหน้าก็ยังปรากฏความไม่มั่นใจให้เห็น
ลู่อี้รับเอากระดาษมาพลิกดู
เขายืนนิ่งเพื่ออ่าน อ่านครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นจึงนั่งลงอ่านต่อ
มู่ซืออวี่เดินออกมาหลังจากจัดเตรียมอาหารเสร็จสิ้น นางเห็นพ่อและลูกชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคล้ายคลึงกันอย่างมาก
“พวกเขากำลังอ่านสิ่งใดกัน?” มู่ซืออวี่กระซิบกระซาบกับลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นกระซิบตอบกลับ “พวกเขากำลังอ่านสิ่งที่ท่านพี่เขียน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...