“เช่นนั้นท่านไปถามมา” มู่ซืออวี่จิ้มเอวเขา
ลู่อี้คว้านิ้วมือของนาง พลางส่งสายตาคลุมเครือมาให้ “ข้าจะได้อะไร?”
“เจ้ายังอยากจะได้อะไรอีก?” มู่ซืออวี่เริ่มไม่พอใจ
ลู่อี้จึงก้มลงกระซิบข้างหูนาง “ข้าก็อยากกินปลาที่เจ้าย่างด้วยเช่นกัน”
มู่ซืออวี่ “…”
แล้วนางไม่ให้เขากินตอนไหน?
ตรงนี้มีนางคนเดียวที่ย่างปลาเป็น หากเขาอยากกินแน่นอนว่าต้องให้นางย่างให้….
ผิดแล้ว เขาจงใจแกล้งนางมากกว่า
ประโยคที่ฟังดูธรรมดาเช่นนี้ จะต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ลามกนักนะ!
หลังจากคิดจนเข้าใจแล้ว มู่ซืออวี่ก็หันไปมองสีหน้าแพรวพราวของลู่อี้ แล้วหยิกเอวเขาไปหนึ่งทีด้วยความโกรธ
ลู่อี้สูดปาก “อึก”
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นในเสื้อบุนวมตัวน้อยมองเขาอย่างเป็นกังวล “อากาศร้อนหรือ?”
“ไม่ร้อน” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “เจ้าอยู่ห่าง ๆ จากเตาย่างหน่อย ระวังสะเก็ดไฟจะโดนตัวเอา”
ถงซื่อผูกปมที่ปลายด้าย ก้มหน้าลงกัดด้ายให้ขาด จากนั้นก็เก็บเข็มกับด้ายกลับไป “เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณ” ท่านหมอจูมองดูที่ที่เคยมีรูกลายเป็นลวดลายใบไผ่ใบหนึ่ง ดูมีเอกลักษณ์ทีเดียว
“ฝีมือข้าไม่ค่อยดี ท่านคงไม่ถือสา” ถงซื่อลุกขึ้นเดินไปหาลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลออกไป “อวิ๋นเอ๋อร์ หน้าเจ้าเปื้อนน้ำมันหมดแล้ว รีบเช็ดออกเร็วเข้า”
ขณะที่ถงซื่อเดินออกไป ลู่อี้ก็ถูกมู่ซืออวี่ผลักให้เดินมา
ลู่อี้นำเนื้อเสียบไม้ ผักเสียบไม้ และน้ำบ๊วยใส่กระบอกไม้ไผ่ จากนั้นจึงเดินมาหาท่านหมอจู
“นี่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ ท่านลองกินดู”
“วันนี้ลาภปากข้าแล้ว” ท่านหมอจูหัวเราะฮ่าฮ่า “หอมมาก หอมชวนน้ำลายสอจริง ๆ ภรรยาของเจ้านับวันยิ่งประเสริฐขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“ท่านไม่คิดจะหาภรรยาสักคนหรือ?” ลู่อี้แสร้งทำเป็นพูดเรื่อยเปื่อย “มีคนทำอาหารให้กินก็ดีเหมือนกัน เทียบกับอยู่คนเดียวแล้วดีกว่าเป็นไหน ๆ”
“ข้าแก่แล้ว ข้าไม่อยากทุกข์ร้อนกับเรื่องใดอีกแล้ว” ท่านหมอจูจิบน้ำบ๊วย “เยี่ยมยอด เปรี้ยวหวานกลมกล่อม รสเช่นนี้แก้เลี่ยนได้ดีที่สุด”
“ท่านยังไม่ถึงสี่สิบ อายุยังไม่มาก คงไม่ใช่มีเรื่องกังวลอยู่ในใจจนไม่มีผู้หญิงคนใดเข้าตากระมัง?” ลู่อี้ยื่นเนื้อเสียบไม้ให้อีกฝ่ายหนึ่งไม้
“เจ้าเด็กคนนี้ ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจริงเชียว ว่ามาเถอะ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าแค่พูดเรื่อยเปื่อย มีภูเขา มีสายน้ำ มีเนื้อดี ๆ อีกทั้งอากาศแจ่มใสเช่นนี้ แค่ได้พูดคุยสนทนากับท่านอา ชีวิตก็มีความสุขแล้ว”
แกร๊ง! ทั้งสองชนจอกกัน
“ฮ่าฮ่า ได้ แต่ว่านะ ไม่ต้องเป็นห่วงอาจูแล้ว ชีวิตนี้ของอาจูพอใจแล้ว” ท่านหมอจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่อี้ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทั้งสองคนพูดคุยสนทนาเรื่องอื่นต่อไป
มู่ซืออวี่หันไปมองสองคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมีแมลงเข้ามาไต่ยุกยิกในหัวใจนาง แทบอดทนไม่ไหวอยากลากลู่อี้มาถามให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ภาพรวมครั้งนี้นับว่าประสบผลสำเร็จ ความหนักอึ้งบนใบหน้าของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ลดน้อยลง ทุกคนผ่อนคลายลงไม่น้อย
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว ลู่อี้จึงไปส่งท่านหมอจูกลับบ้านก่อน
เมื่อเขากลับมา มู่ซืออวี่ก็ดึงเขาเข้าไปในห้อง
ลู่เซวียน “…”
นี่ ๆ น้องสามีคนนี้ยังอยู่ตรงนี้นะ!
ช่างปะไร กลับห้องไปเขียนต้นฉบับดีกว่า วันนี้ออกไปข้างนอกมาทั้งวัน มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนมากมายพอดี
“เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่ถาม
“เขาไม่มีความคิดจะแต่งงาน” ลู่อี้กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ จะว่าไปแล้ว เจ้าถามแม่เจ้าหรือยัง? นางมีความตั้งใจเช่นนั้นหรือ?”
จากมุมมองของเขา เกรงว่าจะเป็นความคิดของนางคนเดียว แม่ยายเขาปฏิบัติตามกรอบธรรมเนียมเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะรับปากเรื่องเช่นนี้
“อ้อ” มู่ซืออวี่เบ้ปาก “ไม่ยอมก็แล้วไปเถอะ ข้าจะหาคนที่ดีกว่าให้แม่ของข้า”
“ลูกพี่ หญิงนางนั้นแหละ พวกเอ้อร์ฉู่ตามนางไปถึงได้ถูกจับเข้าคุก”
“นางเป็นมาอย่างไร? หญิงบ้านนอกคนหนึ่งจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังได้อย่างไร?”
“หากนางไม่มีเบื้องหลัง จะเสียเหล่าพี่น้องไปได้ยังไงล่ะ”
“เจ้านี่หนิ”
“พวกเราเหล่าร้อยอสูรจะต้องไม่ช่วยพี่น้องมือเปล่า ในเมื่อหญิงผู้นี้เดินทางเพียงลำพัง ไม่ว่านางจะเป็นมาอย่างไร จัดการคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถูก มิเช่นนั้นพวกเราเหล่าพี่น้องจะไม่ยอมรับท่าน” คนไม่กี่คนที่อยู่ข้าง ๆ ขยิบตา
มู่ซืออวี่กำลังบังคับรถม้า ทันใดนั้นก็มีคนมาขวางอยู่ข้างหน้า เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังจะชน นางรีบดึงสายบังเหียนอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไร?”
ทันทีที่รถม้าของนางหยุด หนึ่งในนั้นพลันกระโดดขึ้นรถม้า
มู่ซืออวี่คว้ามีดเล่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายออกมาฟันฉับไปทันที
“บัดซบ! สตรีนางนี้ยังใช้มีดอีก”
มู่ซืออวี่ใช้มีดข่มขู่ให้คนคนนั้นลงไป ก่อนจะกระตุกเชือกฟาดแส้บังคับรถม้าให้เคลื่อนไปข้างหน้า
“สตรีนางนี้ตอบสนองเร็วนัก”
ถึงจะเรียกว่าเหล่าร้อยอสูร แต่จริง ๆ แล้วเป็นเพียงอันธพาลตามท้องถนนเท่านั้น หัวหน้าชื่อว่าเฮยหู่ เขาตัวดำ ร่างกายแข็งแรงกำยำ เก่งเรื่องพละกำลังจึงปลุกปั่นพี่น้องให้ติดตามเขาไปทำเรื่องระยำตำบอนได้
เฮยหู่เรียนศิลปะการป้องกันตัวมาจากพระชรารูปหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายกวัดแกว่งมีดไปมาก็ผงะตกใจ รีบกระโดดลงจากรถม้าตามสัญชาตญาณ ทว่าหลังรู้สึกตัวก็รีบกระโดดขึ้นรถม้าตามไปทันที
มู่ซืออวี่ไม่เคยเห็นการปล้นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ นางบังคับม้าเข้าไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน “ขโมย! มีคนขโมย!”
“นังหญิงโสมม! เจ้ากล้าใช้มีดกับข้าได้อย่างไร!” เฮยหู่เหยียดแขนไปหามู่ซืออวี่ แต่ก่อนที่เขาจะได้แตะนาง ขอทานในสภาพกระเซอะกระเซิงกลับกระโดดขึ้นรถม้าแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน
มู่ซืออวี่คิดจะกระโดดลงจากรถม้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากกระโดดลงจากรถม้า นางก็คิดหนทางอื่นไม่ออกแล้ว นางคิดว่าบาดเจ็บยังดีกว่าตกไปอยู่ในมือของพวกโจร
ทว่าเมื่อเห็นขอทานคนนั้น นางก็จำได้ว่าเป็นขอทานคนที่นางเคยเอาอาหารให้เขาหลายครั้งหลายครา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
รออ่านบทต่อไปนานแล้ว...
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...