ตกกลางคืน มู่ซืออวี่นั่งอยู่ที่พื้นหญ้าพลางเงยหน้ามองดูดาวบนฟ้า
นางสงสัยขึ้นมาว่ามีดาวดวงไหนที่เหมือนกับบ้านของนางบ้าง
ทุกอย่างที่นี่แปลกไปเสียหมด แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางแทบไม่มีเวลาให้ได้ปรับตัว จำเป็นต้องรวมตัวเองเข้ากับความทรงจำของคนอื่นเพื่อดำเนินชีวิตให้ราบรื่นเช่นนี้ต่อไปให้ได้
ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนเสื้อลู่ฉาวอวี่จากด้านข้างก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพี่ ท่านแม่ดูเหงามาก ไปเล่นกับนางกันเถอะเจ้าค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่ตอบนิ่ง ๆ “ไม่ล่ะ”
“อาหารที่นางทำอร่อยมาก แล้ววันนี้นางก็ไม่ได้ดุด่าหรือทุบตีเรา บางทีนางอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้” เด็กน้อยเขย่าแขนพี่ชาย
ลู่ฉาวอวี่ดึงแขนตัวเองกลับมาแล้วเดินหลบไปที่ห้องของตัวเองอย่างเย็นชา
ลู่จื่ออวิ๋นหน้ามุ่ย รู้สึกเสียใจมาก เด็กน้อยหันหน้าไปทางมู่ซืออวี่ ในที่สุดก็ค่อย ๆ ก้าวออกไปช้า ๆ แล้วดึงชายเสื้อของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
มู่ซืออวี่ที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหลังก็หันกลับไปมอง
“เสี่ยวอวิ๋น” นางคลี่ยิ้มจาง ๆ “เหตุใดยังไม่นอนอีก?”
“ท่านกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ?” แม้ว่าลู่จื่ออวิ๋นจะยังเล็กนัก แต่เด็กหญิงกลับเต็มไปด้วยความกังวล ทั้งนี้เพราะเจ้าของร่างเดิมเคยทุบตีนางไว้มากจนไม่กล้าสบตาหญิงสาวโดยตรง
“ดูดาวพวกนี้สิ” มู่ซืออวี่ชี้ไปที่ดวงดาวบนฟ้า
ค่ำคืนมืดมิดเหมาะแก่การอำพรางตัว ในเวลานี้หญิงสาวจึงคลายบทร้ายที่เล่นอยู่ เวลานี้นางต่างจากตอนกลางวัน ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่มองไปยังเด็กน้อยนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตัวนางเองเสียมากกว่า
“ดวงดาวมีอะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ
มู่ซืออวี่ไม่ต้องการให้ร่างเล็กเปียกน้ำค้างบนใบหญ้า จึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก
แม้ว่าลู่จื่ออวิ๋นจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่นี่ก็เป็นอ้อมแขนที่แสนอบอุ่น ทั้งยังมีกลิ่นหอม ๆ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจอีกด้วย
“ดาวสวยจัง ดูดวงนั้นสิ รู้หรือไม่ว่ามันคือดาวอะไร นั่นดาวประจำรุ่งล่ะ”
ลู่ฉาวอวี่มองทั้งคู่จากทางหน้าต่าง มู่ซืออวี่กำลังกอดน้องสาวเขาเอาไว้พลางชี้ไปที่ท้องฟ้า ดูเหมือนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
แม้เด็กน้อยจะถามถึงสิ่งที่สนใจขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่มู่ซืออวี่ก็เอ่ยตอบอย่างไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจ
มู่ซืออวี่พูดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมาจากเด็กน้อยในอ้อมแขน เมื่อมองลงไปก็พบว่าเจ้าตัวซบอกนางหลับไปเสียแล้ว
หญิงสาวจึงอุ้มร่างเล็กนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แต่หลังจากนั้นร่างของนางก็เกิดชะงักนิ่ง เมื่อเห็นว่ามีแขนแกร่งยื่นมาช่วยพยุงตัวเด็กน้อย
เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร นางจึงเพียงแค่เดินจากมาพลางเม้มริมฝีปากและพึมพำกับตัวเอง “คนเย็นชาเอ๊ย”
เช้าวันต่อมา มู่ซืออวี่ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงดังพึ่บพั่บ นางลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็นเสียงกระพือปีกของไก่ ตามมาด้วยเสียงพูดคุยของชายหนุ่มทั้งสอง
“ข้าจะเอาไก่ไปขายในเมืองแล้วก็ซื้ออาหารมาเพิ่ม ลู่เซวียน เจ้าช่วยดูแลเด็ก ๆ ด้วย”
“ไม่ต้องห่วงท่านพี่ ข้าไม่ปล่อยให้นางรังแกเด็ก ๆ หรอก”
มู่ซืออวี่ยืนขยี้ตาด้วยความง่วงงุนอยู่ที่หน้าประตูห้องก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “แทนที่จะปกป้องเด็ก ๆ จากข้า เหตุใดไม่พาข้าไปด้วยเสียเลยล่ะ แบบนี้ลูกชายกับลูกสาวที่น่ารักของเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรังแกไง”
ลู่อี้มองนางอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากเข้าเมืองงั้นหรือ?”
“อยากสิ” หญิงสาวตอบแล้วเอ่ยต่อไปว่า “นานแล้วที่ไม่ได้ไปที่ตลาด ถ้าบอกว่าอยากไป เจ้าจะพาข้าไปด้วยหรือไม่?”
“ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทางนิ่ง ๆ เช่นเดิม จากนั้นก็หันไปจัดข้าวของ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...