ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ มู่ชืออวี่มองไปรอบกายอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย แม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมอารมณ์ให้ได้ แต่ลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก
นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
คนอย่างนางมีแววตาใสซื่อถึงเพียงนี้ได้ด้วยหรือ?
นอกจากความละโมบ ประชดประชัน และเย็นชาแล้ว นางยังเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์มาโดยตลอดตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา
แต่ช่วงนี้นางกลับสุภาพกับคนรอบข้าง มองทุกสิ่งรอบตัวอย่างใสซื่ออยากรู้อยากเห็น ราวกับว่าเป็นคนละคนไปเสียสิ้นเชิง
ดูเหมือนกับว่าสตรีตรงหน้านี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
มู่ซืออวี่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวตนที่แท้จริงซึ่งนางพยายามจะซ่อนเอาไว้ได้เปิดเผยออกมาอย่างง่ายดายเสียแล้ว
นางดึงชายเสื้อของลู่อี้ ชี้ไปยังที่ไกลออกไปแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มีการแสดงกายกรรมอยู่ตรงนั้นด้วย”
“อยากดูหรือ?” ลู่อี้พินิจแววตาของนาง
ถ้าหากนางไม่ใช่มู่ซืออวี่คนเดิม แล้วนี่คือใครกัน?
เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาก็ล้วนเป็นนาง ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปสักนิด หรือหญิงสาวหัวกระแทกตอนที่เขาไม่อยู่
“อยากสิ” นางจ้องกลับมาที่เขาอย่างไร้เดียงสา “ไปได้หรือไม่?”
ด้วยเหตุใดไม่อาจทราบได้ ลู่อี้รู้สึกแปลก ๆ ในใจ
เห็นได้ชัดว่านี่คือใบหน้าเดียวกัน ไม่ได้สวยขึ้นแม้แต่นิดเดียว แต่นางคนนี้ ไม่สิ เขาอาจจะต้องเรียกว่าวิญญาณอื่น เขาไม่คิดว่าวิญญาณนี้น่ารำคาญเลยสักนิด
“ได้” ทันทีที่ลู่อี้รับคำ แขนของเขาก็ถูกดึงไปในฝูงชนเพื่อชมการแสดงกายกรรม
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปทันที
ร่างนี้กำลังพยายามทำอะไรกับเขากันแน่
อาจเป็นเพราะว่าเป็นวิญญาณมานาน จึงได้สนใจในทุกสิ่งรอบกายของมนุษย์ มู่ซืออวี่ถูกเข้าสิงจริง ๆ ใช่หรือเปล่า?
แล้วถ้าหากนางไปแล้ว มู่ซืออวี่คนเดิมจะกลับมาหรือไม่
ชายหนุ่มคิดได้เช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้ว
“ดีจัง” หญิงสาวปรบมือไปมา ไม่ได้รับรู้ความคิดของเขาเลยสักนิด
ลู่อี้ไม่ได้มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ความจริงแล้วมันเหลือเชื่อเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพินิจดูจากการเปลี่ยนแปลงของนางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ไม่มีสาเหตุอื่นนอกเสียจากถูกวิญญาณอื่นมายึดร่างจริง ๆ
เขาไม่ได้ต้องการจะขับไล่อีกฝ่ายไป เพียงอยู่ดูว่านางต้องการจะทำอะไร เพราะดูเหมือนว่าวิญญาณนี้จะไม่ได้มาร้าย ไม่เช่นนั้นคนในบ้านคงจะตายก่อนที่เขาจะกลับไปถึงบ้านแล้ว
ชายหนุ่มเคยได้ยินมาว่าวิญญาณผู้หญิงจะดูดซับพลังหยาง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
“แค่ก!” จู่ ๆ ลู่อี้ก็หยุดความคิดแปลก ๆ ของตัวเอง ทว่าใบหน้าเย็นชาของเขากลับขึ้นสีด้วยความไม่สบายใจ
“เจ้าเป็นอะไรไป?” มู่ซืออวี่ละสายตากลับมามองเขาเมื่อได้ยินเสียง “นี่มันสายแล้ว เรายังต้องรีบเอาไก่ไปขาย ไปเถอะ ไม่ต้องดูแล้ว”
ลู่อี้พามู่ซืออวี่ออกมา เขาขายไก่ได้เงินมา 90 เหวิน
มู่ซืออวี่ถือถุงเงินในมือ คิดคำนวณพลางพึมพำออกมา “ปลายข้าวที่ถูกที่สุดราคาชั่งละ 5 เหวิน ข้าวขาวอย่างดีต้องจ่าย 10 เหวินต่อชั่ง ซื้อปลายข้าวก่อน 5 ชั่ง แป้งอีก 5 ชั่ง แต่ต้องซื้อกระดูกกับเครื่องในไปทำกับข้าวให้ทุกคนกินบำรุงร่างกายด้วย เราไม่ได้มีเงินเยอะเลยสินะ”
ลู่อี้มองนางอย่างประหลาดใจ
หญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาจึงถามขึ้นว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ?”
“ถูกแล้ว” ลู่อี้ตอบหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“นั่นลูกเจี๊ยบนี่นา!” มู่ซืออวี่หยุดยืนอยู่ที่หน้าคอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง “พี่ชาย ท่านขายเท่าไหร่?”
“เหวินเดียว” เจ้าของร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่นางต้องการกี่ตัว?”
มู่ซืออวี่มองมาที่ลู่อี้ทันที “ข้าซื้อได้หรือไม่?”
ลู่อี้พยักหน้า “ตามใจเจ้า”
“ขอบคุณเจ้ามาก” หญิงสาวคลี่ยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...