สตรีวัยกลางคนตัวสั่นเทา ร่างของนางผอมบาง ไหล่ที่ห่อเข้าหากันทำให้ทั้งร่างดูงองุ้ม ไร้ซึ่งความมั่นคงราวกับใบไม้ไหว มีกลิ่นอายของความขมขื่นแผ่ออกมารอบตัวนางอย่างประหลาด
ถงซื่อหันตามเสียงเรียกของลูกสาว ดวงตาขุ่นมัวมองมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเอ่ยตอบกลับไปว่า “ซืออวี่”
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยว่า “เข้ามานั่งก่อนเถิด”
“ไม่เป็นไร แม่แค่มาหาเจ้าไม่นาน เดี๋ยวก็จะไปแล้ว ท่านย่าของเจ้ากำลังรอแม่อยู่” ถงซื่อดูไม่สบายใจ แต่ก็ข่มกลั้นเอาไว้
แม้ว่าคนในครอบครัวลู่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่พวกเขาก็ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ลู่จื่ออวิ๋นยังมวยผมน่ารักเหมือนเทพธิดาตัวน้อย ๆ
ทว่าถงซื่อกลับไม่เพียงแต่สวมเสื้อเก่าขาด แต่เนื้อตัวยังเลอะเปรอะไปด้วยเศษดินเศษฝุ่น ผมเผ้าก็ยังยุ่งเหยิงอีกด้วย ท่าทางนางดูไม่ได้เลยสักนิด ไม่ต่างอะไรกับกับลาที่ถูกเคี่ยวกรำใช้งานหนักมากเกินไป
หญิงสาวดึงมือหยาบกร้านของถงซื่อมากุมเอาไว้
คนเป็นแม่ค้อมตัวลงเมื่อเห็นว่าถูกสายตาของลูกสาวจับจ้อง นางรีบอธิบายอย่างกระวนกระวายขึ้นมา “มือของแม่สกปรก เดี๋ยวจะเปื้อนมือเจ้าไปด้วย”
ทว่ามู่ซืออวี่กลับไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ช่างมันเถอะ ไปข้างในกันดีกว่า ไปนั่งพักสักหน่อย”
“แต่…” ถงซื่อยังไม่กล้าเข้าไป
นอกจากวันแต่งงาน หลายปีมานี้นางได้แต่แอบมองลูกสาวอยู่ห่าง ๆ ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน มีเพียงแม่สามีและพี่สะใภ้เท่านั้นที่เข้าไปในบ้าน แต่ก็เพื่อที่จะมาขนย้ายสิ่งของออกไป
ในสายตาของบ้านลู่อี้ คนตระกูลมู่ก็ไม่ต่างจากปลิงดูดเลือดไปแล้วกระมัง
มู่ซืออวี่ลากถงซื่อเข้าไปด้านใน
เป็นเรื่องหาดูได้ยากที่ลู่เซวียนจะไม่พูดจาร้ายกาจออกมา ส่วนลู่ฉาวอวี่มองไปยังถงซื่ออย่างเฉยชาราวกับท่านยายเป็นอากาศธาตุ
ลู่อี้ออกจากครัวมาพร้อมชามบะหมี่ เขาวางมันลงตรงหน้าแม่ยาย “เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ลองกินดูเถิด”
แขกของบ้านรีบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่หิว แค่มาดูเฉย ๆ ตอนนี้ต้องกลับแล้ว”
ที่วางอยู่ตรงหน้านางตอนนี้คือบะหมี่ สตรีวัยกลางคนผู้นี้ทำงานราวกับเป็นวัวเป็นม้าของบ้านตระกูลมู่มาหลายปี ไม่ต้องพูดถึงบะหมี่สักชาม มีของเหลือ ๆ มาให้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นางได้กินอะไรไม่มากนัก อย่างมากก็ไม่เกินครึ่งฝ่ามือ และมักจะแบ่งไปเพิ่มให้ลูกชายทุกครั้ง แต่อาหารเพียงน้อยนิด เด็กผู้ชายกำลังโตจะกินพอได้อย่างไร
“เขาบอกว่ากินได้ท่านก็กินเสียเถอะน่า” มู่ซืออวี่พูดขึ้น “ท่านบอกว่ากำลังรีบอยู่นี่ ถ้าไม่รีบกินรีบไป กลับไปช้าโดนท่านย่าดุอีกก็อย่ามาโทษข้านะ”
ถงซื่อดวงตาแดงก่ำ “พวกเจ้ากินกันเถอะ ข้าไม่หิวจริง ๆ ต้องไปแล้ว”
“เหตุใดถึงได้พูดยากแบบนี้นะ” คนเป็นลูกสาวหมดความอดทน “ท่านต้องกินให้หมด ถ้าไม่กิน คราวหน้าก็อย่ากลับมาอีก”
ถงซื่อมองมู่ซืออวี่แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเสียใจ “แม่เพียงคิดถึงลูก ถ้าเจ้าไม่อยากเจอแม่อีกแล้ว แม่ก็จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก จะแอบดูอยู่ข้างนอกเท่านั้น อย่าโกรธแม่เลยนะ”
มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด
นางพอจะรู้มาว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่มีปากมีเสียง ไม่สู้คน แต่ไม่ได้คิดว่านางจะเป็นคนยอมคนได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ใคร ๆ ก็ต่างรังแกเอาได้ สิ่งที่ถงซื่อดูน่าสมเพชอย่างมากคือความขี้ขลาดเกินจำเป็น นางดูเหมือนถูกรังแกเสมอ แม้แต่จะอยู่ต่อหน้าลูกสาวของตนเองแท้ ๆ ก็ตาม
“กินซะ ถ้าไม่อยากให้ข้าโกรธ มันทำมาเพื่อท่านโดยเฉพาะ ถ้าท่านไม่กินข้าจะเอาไปเทให้ไก่” มู่ซืออวี่พูดอย่างเย็นชา
ลู่จื่ออวิ๋นตามเข้ามา เด็กน้อยซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมู่ซืออวี่แล้วมองไปที่ถงซื่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตอนนี้ถงซื่อไม่ได้สนใจสายตานั้นจากเด็กน้อย เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านตระกูลลู่นี้แปลกไป ถึงนางจะไม่เคยเข้ามาข้างในมาก่อน แต่ก็รู้ถึงความสัมพันธ์ในบ้านนี้เป็นอย่างดี อย่างเช่นว่าคนบ้านนี้ไม่ชอบลูกสาวของตน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าพวกเขาสนิทกันมาก โดยเฉพาะลูกสาวนางและเด็กน้อยคนนี้
ลู่อี้ทำบะหมี่ออกมาวางอีกหลายชาม
ลู่ฉาวอวี่และลู่เซวียนช่วยกันเอาชามออกมา จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะตามตำแหน่งที่นั่ง
“ทุกคนได้ของตัวเองกันหมดแล้ว นั่งลงกินข้าวเถอะ” ลู่อี้สั่งให้ทุกคนนั่งลง
ครอบครัวทุกคนนั่งลงประจำตำแหน่ง ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้ มู่ซืออวี่นั่งถัดจากถงซื่อ ส่วนลู่เซวียนและลู่ฉาวอวี่นั่งข้างกัน
บะหมี่ในชามก็ฝืดเฝื่อนไม่ชวนกินอีกต่อไป
นางอยู่รอดในชีวิตแต่งงานมายี่สิบปีและคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนี้มานานแล้ว ลูกคือจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงของนาง เมื่อนึกถึงลูกชายของตนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน หัวใจที่เปราะบางของคนเป็นแม่ก็ชาหนึบไปชั่วขณะ
“จะให้แม่ทำอย่างไร”
“ออกมาเสียสิ”
“มันมีกฎของหมู่บ้าน แต่งงานแล้วไม่สามารถแยกบ้านได้ เป็นเรื่องเสื่อมเสียผิดประเพณีผิดศีลธรรมหากแยกจากบ้านสามี”
“แม่จะไปคิดดู” ถงซื่อหลุบตาลง “แม่ต้องไปแล้ว เห็นว่าเจ้าสบายดีอย่างนี้แม่ก็สบายใจ”
“กินให้หมดเถิด” เมื่อรู้ว่ามารดาไม่สบายใจ นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในครัว
มีเสียงกินบะหมี่ดังขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาว เพราะความขี้ขลาดของถงซื่อในตอนนี้ เมื่อไม่ได้ถูกลูกสาวจับจ้องอยู่ นางก็สบายใจที่จะกินมันจนหมดชามในเวลาไม่นาน
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงซดน้ำแกงจนหมดเช่นกัน
มู่ซืออวี่ยัดถุงใบหนึ่งใส่มือหยาบกร้านของคนเป็นแม่ “เอานี่ไปให้ท่านพ่อกับน้องข้าเถิด แล้วอย่าให้พวกนั้นรู้ล่ะ”
“นี่คืออะไร?” ถงซื่อเปิดออกดู ก่อนจะรีบคืนให้ลูกสาวทันทีที่เห็นของข้างใน “ไม่… แม่รับไว้ไม่ได้ มันสำคัญกับเจ้า”
“รับไปเถอะ ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เลยหรือ หลังจากนี้ค่อยมาหาข้าตอนที่ท่านตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะช่วยท่านทุกอย่างเท่าที่ทำได้”
หลังจากที่นางได้รับร่างนี้มาแล้ว นางก็จะต้องดูแลคนในครอบครัวของเจ้าของร่างนี้ด้วย
แม้ว่ามู่ซืออวี่จะไม่ได้เป็นคนดีเลิศเลอ แต่จะเป็นคนไม่มีมโนธรรมและเมินเฉยต่อความยากลำบากของแม่ตัวเองได้อย่างไร

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
รออ่านบทต่อไปนานแล้ว...
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...