ลู่ฉาวอวี่รับเงินมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปไหน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็อยากรู้เรื่องระหว่างลู่อี้และฟางโจวอวี่คนนั้น
ส่วนมู่ซืออวี่ไม่ได้สนใจอะไร นางยังคงพูดความคิดเห็นตัวเองแบบน้ำไหลไฟดับโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ลู่อี้เป็นผู้ปราดเปรื่องมาโดยตลอด ตอนที่เรียนในสำนัก เขาเป็นที่โปรดปรานของใครหลาย ๆ คน ศิษย์คนอื่นจะไม่อิจฉาได้อย่างไร และเมื่อเวลาผ่านไป คนที่อิจฉาเขาเหล่านั้นก็ยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้นทุกวัน ฟางโจวอี้คนนี้ก็มักจะทำตัวแย่ ๆ ใส่เขาเป็นประจำ น่าจะเป็นคนใจแคบขี้อิจฉาคนหนึ่ง ตอนนี้สอบผ่านได้เป็นบัณฑิตแล้ว แน่นอนว่าคงอยากจะข้ามหัวลู่อี้ให้ได้
“พรุ่งนี้เขาจัดงานเลี้ยง เขาชวนท่านไปด้วยใช่หรือไม่ หมูป่าหนึ่งตัวขายได้ไม่ถึง 20 ตำลึงหรอก แต่เพราะว่าอยากให้ท่านไป เขาถึงได้ไม่เสียดายที่จะตัดต้นทุนตัวเอง งานเลี้ยงที่หงเหมินสินะ”
มู่ซืออวี่ยิ่งพูดก็ยิ่งลำพองใจ นางวิเคราะห์เสียน้ำไหลไฟดับราวกับอยากให้เรียกว่าเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ระมัดระวังตนเองเลยตั้งแต่ล้มป่วยลง
ก่อนหน้านั้นลู่อี้ไม่ได้ตอบกลับอะไร นางเคยกังวลเรื่องการสลับบทเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋น ตอนนี้ลู่อี้และลู่เซวียนกลับมาแล้ว บางครั้งสิ่งที่นางทำหรือพูดก็มีพิรุธ ทว่าก็มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว
ลู่อี้มองนางสักพักแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งคำพูดอะไรของนาง
ถึงลู่อี้จะมองนาง แต่สายตาก็ไม่ได้ดูเกลียดชังอีกต่อไปแล้ว
ในความคิดตอนนี้ของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความสงสารและห่วงใย
“หรือว่าพรุ่งนี้จะไม่ไปแล้ว ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาที่ไม่ดีแล้วยังจะไป นั่นไม่ใช่คนโง่รึ” ลู่เซวียนหันไปมองลู่อี้ด้วยความทุกข์ใจ “หากไม่ใช่เป็นเพราะข้า ท่านคงไม่ต้องรับความอับอายขายหน้าจากคนต่ำต้อยเช่นนั้น”
“พูดไร้สาระอะไร” ลู่อี้พูดต่อไปว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเอาความผิดทุกอย่างมาลงที่ตัวเอง”
“แล้วไม่ใช่รึไง ท่านพี่เรียนหนังสือเก่ง เจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์ต่างก็คาดหวังกับท่านไว้สูง หากไม่ใช่เพราะข้าที่เป็นภาระ ท่านคงสอบเลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตได้ตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้ว สำหรับข้าแล้ว ร่างกายของเจ้าคือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้”
“ร่างกายพิการของข้าจะมีประโยชน์ได้อย่างไร” ลู่เซวียนทุบตีตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ลู่อี้คว้ามือของลู่เซวียนไว้ ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ “ร่างกายของเจ้า ข้าจ่ายเงินเลี้ยงดูไปมากโข เจ้าไม่มีสิทธิ์มาดูถูกตนเอง”
“ท่านพี่…” ลู่เซวียนมองต่ำลง “เหตุใดถึงดีต่อข้าเช่นนี้”
ลู่อี้ตบไหล่ลู่เซวียน “เป็นพี่น้องแค่หนึ่งวันก็เป็นพี่น้องทั้งชีวิตแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ต้องพูดเช่นนี้”
มู่ซืออวี่มองลู่อี้ที่ปฏิบัติต่อน้องดั่งคนรักและน้องที่เคารพนับถือผู้เป็นพี่
ผู้ชายที่แสนดี! แค่รักษาบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ต่อไปได้ก็ไม่เลวแล้ว
“แต่ท่านพ่อของข้าจะดูไม่ดีหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“ดูดีสิ… ” ลู่อี้พูดขึ้นมาโดยไม่ทันคิด เมื่อมองเห็นสายตาของทุกคนก็หุบปากฉับทันที
“หากพรุ่งนี้จะไปร่วมงานเลี้ยง เสื้อผ้าของท่านชุดนี้ใช้ไม่ได้ ต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
“ไม่ต้อง” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
ในบ้านไม่ได้มีเงินมากมายก่ายกองที่จะเอามาใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง เขาหวังว่าเงินที่ใช้ไปทุกเหรียญจะใช้จ่ายอย่างจำเป็นที่สุด ไม่ใช่เอามาใช้จ่ายกับเรื่องไม่จำเป็นเหล่านี้
“พรุ่งนี้ท่านจะไปมือเปล่าหรือ ถึงแม้จะพูดว่าไม่สนใจ แต่ท่านอาจจะถูกคนเย้ยหยันได้ พวกเราจะต้องไม่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากเขาตบหน้าท่าน ท่านจะตบหน้าเขากลับคืนอย่างโหดเหี้ยมกว่าเดิมได้อย่างไร”
“เขาไม่ได้สำคัญอะไร เหตุใดจึงต้องเอาใจใส่ด้วย” ลู่อี้คัดค้าน “เอาเถิด ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องไปก่อนแล้ว”
ลู่เซวียนมองตามแผ่นหลังลู่อี้ที่เดินจากไปแล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ต้องพบเจ้าสำนักกับท่านอาจารย์ ท่านพี่คงขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพราะไม่อยากไปมือเปล่า คนใจแคบอย่างฟางโจวอวี่ไว้วางใจไม่ได้แน่”
มู่ซืออวี่ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ในขณะที่ลู่เซวียนหันกลับมามองมู่ซืออวี่แล้วถามว่า “ตอนเย็นกินอะไร?”
“ตอนเย็นกินอะไรง่าย ๆ สักนิดก็พอแล้ว”
นางยังมีเรื่องยุ่งอื่น ๆ ที่ต้องทำอยู่อีก
ลู่เซวียนเบะปาก “สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง เหมือนเดิมอีกแล้ว”
เมื่อลู่อี้หิ้วกระต่ายกลับมาก็มองเห็นมู่ซืออวี่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ลานบ้าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...