ลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปหยิบผ้าขนหนูชุ่มน้ำจากด้านใน จากนั้นก็ยื่นให้ลู่อี้ด้วยมือทั้งสองข้าง
นางกะพริบตากลมโตอันซื่อบริสุทธิ์พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ ล้างหน้าก่อนเถิด”
ลู่ฉาวอวี่วางของลงจากบ่า
ลู่เซวียนเฝ้ามองจากด้านข้างพลางเอ่ยถามเป็นครั้งคราวว่าอีกฝ่ายปรารถนาจะให้ช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่
ลู่อี้จ้องมองผู้คนโดยรอบที่ห่วงใยเขา หัวใจที่ด้านชาพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
หลังเช็ดหน้าด้วยผ้าเปียกนุ่ม เขาก็รับเอาปิ่งและน้ำแกงผักจากมู่ซืออวี่แล้วค่อยอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“อย่ากังวล ข้าไม่ได้ถูกทำร้ายหรอก”
“ข้ารู้ ท่านไม่ใช่คนที่ผู้อื่นจะรังแกได้ง่าย ๆ” ลู่เซวียนกล่าว “ข้าเพียงกังวลก็เท่านั้น”
“ข้าไม่ได้เก่งกาจถึงเพียงนั้นหรอก” ลู่อี้จ้องมองไปยังมู่ซืออวี่ “หากไม่ใช่เพราะของขวัญล้ำค่าที่ซืออวี่เตรียมไว้ ข้าเองคงเสียหน้าไม่น้อย”
ซืออวี่…
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างจ้องมองทั้งสองด้วยสายตาประหลาดใจ
มู่ซืออวี่พลันรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มของนาง
น้ำเสียงของลูอี้ฟังดูดีเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาเรียกตนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันคือความเสียดาย
นางตระหนักได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจืดจางลงแล้ว การเรียกเพียง ‘ซืออวี่’ ก็ไม่ได้ดูน่าประหลาดใจนัก ทั้งยังไม่ได้ดูสนิทสนมมากจนเกินควรอีกด้วย
หากไม่เรียกซืออวี่แล้วจะให้เรียกอย่างไร? แม่นาง? แม่ของลูก? สะใภ้?
การเรียกเช่นนั้นไม่ประหลาดยิ่งกว่าหรือ
“อะแฮ่ม! นี่เป็นการปรนนิบัติที่ข้าควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” มู่ซืออวี่กระแอมสองครั้งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
ลู่อี้ร้องงึมงำในลำคอพร้อมซดน้ำแกงผัก จากนั้นก็หลับตาลง
เห็นได้ชัดว่านี่คือน้ำแกงผักป่าที่มีรสขม หลังผ่านกรรมวิธีโดยรสมือของนางแล้ว เหตุใดรสชาติถึงได้เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้? แม้จะยังมีรสขมอยู่เล็กน้อย แต่ก็ทิ้งรสหวานและกลิ่นหอมคลุ้งอยู่ในปาก
“เจ้าทานข้าวเถิด ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
มู่ซืออวี่ทำความสะอาดห้องพร้อมหยิบเสื้อผ้าสกปรกออกมาจากด้านใน
“อย่าขยับ!” ลู่เซวียนตะโกน
มู่ซืออวี่ทิ้งเสื้อผ้าสกปรกลงทันทีหลังจากได้ยินเสียงตะโกน นางรีบเอ่ยถามว่า “มีสิ่งใดหรือ?”
สีหน้าของลู่เซวียนพลันหม่นลง “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าซักเสื้อผ้าของข้า”
“ไม่ต้องการให้ข้าซัก? แล้วผู้ใดจะซักล้างให้เล่า?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ข้าจะซักให้เอง จะซักรวมกับเสื้อผ้าของเด็ก ๆ นี่แหละ เสื้อผ้าของเจ้ามีไม่มาก งานบ้านเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากให้ข้าซักเล่า?”
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อยากให้เจ้าซัก” ลู่เซวียนกล่าวพร้อมดึงเสื้อผ้าของเขาออกจากมือมู่ซืออวี่
ลู่อี้กินปิ่งก่อนพร้อมดื่มน้ำแกงผักป่าหนึ่งชาม จากนั้นเขาจึงนำภาชนะและตะเกียบไปเก็บไว้ในครัว
เมื่อได้ยินเสียงสนทนาจากด้านใน เขาจึงกล่าวกับมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “นำเสื้อผ้าของน้องเซวียนออกเถิด ข้าจะสักให้เขาเองในภายหลัง”
“งั้นก็แล้วแต่พวกเจ้า” มู่ซืออวี่ทิ้งอ่างไม้ลงด้วยความโกรธ
ณ ริมแม่น้ำ หญิงสาวราวสองสามคนกำลังสนทนากันถึงเรื่องขบขันขณะกำลังซักเสื้อผ้าสกปรก จากนั้นไม่นานพวกนางก็มองเห็นมู่ซืออวี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอ่างไม้
“นี่” หยางจื่อฮวาแตะแขนหวังซื่อ “ตายจริง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด?”
หวังซื่อจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยแววตาแดงก่ำราวกับปรารถนาจะฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ
ทันทีที่ได้เห็นมู่ซืออวี่ นางก็นึกถึงไก่ทั้งสามตัวนั้น หัวใจราวกับมีความเจ็บปวดแล่นรวดร้าว นางจ้องเขม็งไปยังมู่ซืออวี่ราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย
“ดูเถิด นั่นเป็นภรรยาของผู้ใดกัน? เจ้าว่านางมาผิดที่หรือเปล่า?” หวังซื่อเอ่ยเสียดสี
มู่ซืออวี่จ้องมองไปยังหวังซื่อ จากนั้นนางจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วนั่งลงเพื่อซักผ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...