ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย นิยาย บท 39

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” นายอำเภอฉินชมไม่หยุดปาก “ช่างเป็นภรรยาที่มากความสามารถเสียจริง ลู่อี้ช่างโชคดี”

“ภรรยาที่หยาบคายของข้าไม่น่าได้รับคำชมจากผู้ใหญ่เช่นนี้เลย” ลู่อี้ถ่อมตัว

นายอำเภอฉินกินเนื้อกระต่ายเข้าไปอีกหนึ่งชิ้น มือยกเหล้าดื่มตามเข้าไปรวดเดียวจนหมดแก้ว ใบหน้าอิ่มเอมไปด้วยความผาสุก

“หากจะกล่าวว่าเมียหยาบคายเช่นนั้น เกรงว่าโลกนี้คงเต็มไปด้วยคนหยาบคายทั้งสิ้นแล้วกระมัง ได้ยินอาจารย์เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว แท้จริงแล้วข้าก็ยังเสียดายอยู่บ้าง แต่พอวันนี้ได้เจอเจ้าแล้วรู้ว่าเจ้ามีเมียดีอย่างนี้ แต่ละวันเจ้าคงไม่เหงาอีกต่อไป”

ไป๋เหวยคังปริปากพูดออกมา “ได้ยินมาว่าเจ้าให้กำเนิดลูกชายลูกสาวแล้ว”

“ใช่ขอครับ ฝาแฝดชายหญิง” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “วันหลังข้าจะพามาทำความเคารพท่านอาจารย์”

“เจ้าดูไม่ค่อยว่างมากนัก ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากมายหรอก หากลูกชายของเจ้าอยากมีความรู้ก็พาเขามาเข้าที่สำนักได้”

“ขอบพระคุณมากขอรับท่านอาจารย์”

“ข้าอยากรับศิษย์ใหม่อยู่พอดี” ฟางโจวอวี่พูดขึ้นมา “หากส่งนายน้อยของเจ้ามาที่นี่ ข้าก็จะพร่ำสอนจนสุดความสามารถอย่างแน่นอน”

ลู่อี้พูดด้วยท่าทีเย็นชา “เอาไว้ค่อยว่ากัน”

สีหน้าของฟางโจวอวี่ครึ้มลง

ในขณะที่เฉียนจงอวิ๋นยกแก้วเหล้าขึ้นมา “มาเถอะ ข้าจะดื่มอวยพรสักแก้ว”

“ใช่ ๆ รินมาให้เต็ม” ถังหมิงฉงพูดคล้อยตาม “วันนี้พวกข้าจะไม่มีทางทิ้งเจ้า ไม่เมาไม่กลับแน่นอน!”

เมื่อกินอิ่มดื่มจนเสร็จสิ้นแล้ว ฟางโจวอวี่ก็เดินไปส่งนายอำเภอฉิน จากนั้นก็ไปส่งคหบดีเหล่านั้น ส่วนเหล่านักปราชญ์ของสำนักบัณทิตเขาเขียวต่างกลับกันเอง

เหล่าอาจารย์ที่ไม่ได้เจอลู่อี้มานานแล้วต่างอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง

ฟางโจวอวี่ส่งแขกผู้มีเกียรติกลับแล้วก็เห็นเหล่าอาจารย์ยังคงพูดคุยอยู่กับลู่อี้ ในบทสนทนาล้วนเป็นความรักเอ็นดูและเสียดาย ลู่อี้ดื้อรั้นเกินไป หากยอมรับความหวังดีของผู้อื่น วันนี้คงไม่กลายเป็นเช่นนี้

“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เจ้าดื่มกับข้าอยู่ที่นี่สักคืนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับไป” ไป๋เหวยคังเอ่ยต่อ “ดื่มเหล้ามากไปก็เป็นการทำร้ายร่างกาย พวกท่านคงไม่อยากเป็นขี้เหล้าหรอกกระมัง”

“ใช่ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก”

ไป๋เหวยคังพาลู่อี้ลงมาด้านล่าง

เขาจอดรถม้าไว้ที่นี่ ลู่อี้ไปข้างหน้าเพื่อประคองไป๋เหวยคังไว้ แต่กลับถูกปัดมือทิ้ง แล้วเหยียบเก้าอี้ขึ้นรถม้าไปเอง

“งงอะไรอยู่ ยังไม่ขึ้นมาอีกหรือ” ไป๋เหวยคังส่งเสียงเรียกดังขึ้นอย่างเยือกเย็น

“ขอรับ ท่านอาจารย์”

ฟางโจวอวี่เดินไปส่งอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ เสร็จแล้วก็เห็นลู่อี้นั่งอยู่ในรถม้าของเจ้าสำนัก ทั้งยังออกไปไกลแล้ว ในสายตาชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง

“ลู่อี้นี่เลวจริง ๆ” เฉียนจงอวิ๋นกล่าวขึ้นด้วยความอิจฉา “ไม่มีโอกาสสอบขุนนางได้อีกแท้ ๆ แต่เจ้าสำนักก็ยังคงหลงใหลในตัวเขา”

“วันเวลายังอีกยาวไกล วันหนึ่งผู้นำภูเขากับเหล่าท่านอาจารย์จะรู้ชัดว่าคนที่อนาคตสดใสที่สุดของสำนักบัณทิตเขาเขียวคือใคร” ถังหมิงฉงเอ่ยกับฟางโจวอวี่ “พวกเราอย่าเพิ่งมีเรื่องกับเขาช่วงนี้เลย”

ในรถม้า ไป๋เหวยคังหลับตาลงแล้วงีบหลับไป ส่วนลู่อี้นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมราวกับเด็กที่เชื่อฟังคำสอน

ครั้นรถม้าแล่นเข้ามาด้านในสำนักบัณทิตเขาเขียว คนขับรถม้าจึงเอ่ยว่า “ถึงแล้วขอรับ”

ไป๋เหวยคังลืมตาแล้วลงจากรถม้า

ลู่อี้เดินไปพร้อมกับไป๋เหวยคัง ไม่นานนักผู้ติดตามของไป๋เหวยคังก็หยุดลง ก่อนจะกล่าวขึ้นทั้งที่ไม่ได้หันกลับไปมอง “เจ้าไม่ต้องไปกับท่านอาจารย์ เจ้าคุ้นเคยกับที่นี่ดี รู้ว่าที่ไหนคือห้องรับแขก ท่านอาจารย์เมื่อยล้าแล้ว ไม่ได้ดูแลเจ้าตลอดหรอก”

“ท่านอาจารย์” ลู่อี้คุกเข่าลงบนพื้น “ศิษย์ทำให้ท่านผิดหวัง ท่านตีข้า ลงโทษข้าเถิด!”

หากอาจารย์ไม่ลงโทษเขา ก็จะยิ่งทำให้เขาลำบากใจ

“ข้าจะลงโทษเจ้าทำไม ตีเจ้าด้วยเหตุใด เจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักบัณทิตเขาเขียวแห่งนี้ตั้งนานแล้ว ข้ายังต้องตี ต้องลงโทษเจ้ารึ” ไป๋เหวยคังหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้าเป็นคนเลือกทางเดินเอง ต่อไปจะเดินไปทางไหนนั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าเองก็อายุเท่าใดแล้ว ก้าวขาอีกแค่ก้าวเดียวก็ใกล้ลงโลงแล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่วัน เรื่องของเจ้านั้น ข้าดูแลไม่ไหวหรอก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย