ลู่อี้มองไปยังชายที่กำลังเดินเข้ามาหา เขายังคงสีหน้าเย็นชาไว้เช่นนั้น ก่อนจะตอบไปแค่คำเดียวว่า “อืม”
เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินสิ่งที่เขาตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า ‘อืม’ นางก็รู้สึกถึงความฉุนเฉียวใจร้อนของเขา ทำให้รู้ว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน
“แม่นางผู้นี้… คือพี่สะใภ้สินะ?” ถังหมิงฉงหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอพี่สะใภ้กับพี่อี้ ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆ”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วขึ้นแล้วชายตามองไปที่อีกฝ่าย
กิ่งทองใบหยก?
นางตระหนักได้ว่าคนแบบนี้เป็นเช่นไร พูดแบบนี้ไม่ได้เจตนาดีเป็นแน่
“สามี คนคนนี้เป็นน้องของเจ้าหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้มแฉ่ง
ลู่อี้ “…”
เขาเหลือบมองนางก่อนจะตอบว่า “เพื่อนสมัยเรียนน่ะ”
“พี่อี้เป็นดาวเด่นประจำสำนักของเราในอดีตน่ะ” ถังหมิงฉงเจตนาเน้นคำว่า ‘ในอดีต’ เพื่อตั้งใจล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด
มู่ซืออวี่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม นางยิ้มแฉ่งมากกว่าเดิม “จริงหรือ? สามีของข้าน่าทึ่งจริง ๆ”
แววตาของถังหมิงฉงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
สาวชาวบ้านก็คือสาวชาวบ้าน ขี้เหร่ แถมยังโง่อีกด้วย
หากถังหมิงฉงมีโอกาสได้เจอเจ้าของร่างเดิมก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ใช้คำว่า ‘ขี้เหร่’ มาประเมินนางในตอนนี้หรอก
เจ้าของร่างเดิมไม่เพียงแต่อ้วนเท่านั้น แต่ยังมีสิวเต็มหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง หากมองดูมู่ซืออวี่ในปัจจุบัน เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดสะอ้าน ผมเผ้าหวีจนเรียบ สิวบนหน้าก็หายไปเยอะแล้ว น้ำหนักก็ลดลงไปตั้งเยอะ ถึงได้กลายมาเป็น ‘ขี้เหร่’ ในแบบนี้
“ในเมื่อเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนจนเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันแบบนี้” มู่ซืออวี่พูดอย่างจริงจัง “เช่นนี้แล้วเจ้าจะมาแบกแพะตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่คนเดียว แล้วปล่อยให้เขาอยู่ข้าง ๆ ได้แต่มองดูเจ้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
ลู่อี้หยุดฝีเท้า เลิกคิ้วขึ้น แล้วมองสีหน้าไร้เดียงสาของมู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ
มุมปากของถังหมิงฉงกระตุก “นี่เจ้า…”
“เมื่อสักครู่เจ้ายกย่องข้าเป็นท่านพี่สะใภ้มิใช่รึ?” มู่ซืออวี่ขัดจังหวะถังหมิงฉง
ถังหมิงฉงพูดเบา ๆ “ก็ใช่”
ทุกคนไม่ได้เรียกกันแบบนี้หรอกหรือ?
ก็เหมือนกับการที่ได้เจอกับคนที่ไม่ชอบ พอเจอกันก็เรียก ‘พี่’ กันทั้งนั้นแหละ และแน่นอนว่าภรรยาของลู่อี้ก็คือ ‘พี่สะใภ้’
นี่ถือว่าเป็นมารยาท ผู้หญิงคนนี้ไม่ปกติรึเปล่า ไม่เข้าใจหรือไง?
“เช่นนั้นสามีจะมาเห็นแก่ตัวแบบนี้ไม่ได้” มู่ซืออวี่คว้าแขนของลู่อี้ และมองเขาอย่างจริงจัง “คุณชายท่านนี้ก็เคยเรียนที่สำนักเดียวกันกับเจ้า ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป อาจจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียได้”
เดินมาจนถึงประตูเมืองจนได้ ถังหมิงฉงก็มิอาจทำความเข้าใจได้ว่าเหตุใดสถานการณ์กลับกลายเป็นว่าเขามาช่วยลู่อี้แบกสัตว์ป่า
เหตุใดเขาไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกนะ?
ไม่สิ ถังหมิงฉงเองก็อยากปฏิเสธอยู่หรอก แต่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปิดปากด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มจะเอ่ยปากพูด ผู้หญิงคนนี้ก็จะหาเหตุผลนานัปการมาปิดปากเขาไว้ ทำให้เขางุนงงหลงช่วยลู่อี้แบกของป่าเช่นนี้
แพะก็ตัวใหญ่มาก แถมยังไม่ตายเสียด้วย แล้วก็ยังดิ้นไปมาอยู่เรื่อย ทำให้ร่างกายของเขาที่อ่อนแรงอยู่แล้วซวนเซหนักกว่าเดิม
ถังหมิงฉงกัดฟันอดทน
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้คนอื่นมาสบประมาทเขาไม่ได้ มิฉะนั้นผู้หญิงคนนี้จะมองว่าเขาเป็น ‘บัณทิตที่เก่งแต่ในตำรา’
ลู่อี้ตัวสูง ส่วนถังหมิงฉงเตี้ยกว่า เช่นนี้แล้วน้ำหนักส่วนใหญ่ก็เทมายังถังหมิงฉงที่ต้องเป็นคนรับไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ถังหมิงฉงก็เริ่มท่าไม่ดี
ลู่อี้ยิ้มมุมปาก
ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกจริง ๆ
แถมยังเจ้าเล่ห์ไม่เบา
ถ้าขนาดนี้แล้วยังดูไม่ออกว่านางแตกต่างจากมู่ซืออวี่คนเดิม แสดงว่าเขาไม่คู่ควรกับฉายาอัจฉริยะแล้ว
“นั่นไม่ใช่พี่ถังหรอกรึ?”
“นั่นใช่พี่อี้หรือเปล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...