ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จากนั้นจึงโผล่หัวไปยังประตู จ้องมองมู่ซื่ออวี่ที่กำลังง่วนกับงานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านหลัง จึงกล่าวขึ้นโดยไม่หันไปมอง “สระผมเสร็จแล้วใช่หรือไม่? มานี่สิ ข้าจะเช็ดหัวให้เจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า เด็กหญิงจ้องมองไปยังหัวหมูที่มู่ซืออวี่กำลังปรุงอาหารพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ สิ่งนี้กินได้หรือไม่?”
“กินได้สิ อร่อยมากด้วย”
หลังจากมู่ซืออวี่เตรียมการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น นางก็หาผ้าสะอาดมาเช็ดผมให้กับลู่จื่ออวิ๋น
เปลวไฟในเตากำลังลุกโชน ใช้เวลาเพียงไม่นาน หม้อที่กำลังต้มอยู่ก็ส่งเสียงหวีดออกมา
มู่ซืออวี่เช็ดผมให้กับลู่จื่ออวิ๋นจนหมาด ก่อนจะทำงานในครัวต่อไป
ลู่เซวียนจ้องมองจากระยะไกลด้วยสีหน้างุนงง
สิ่งที่มู่ซืออวี่กระทำต่อลู่จื่ออวิ๋นนั้นดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้เขารู้สึกว่าช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา
ดูเหมือนว่าหญิงผู้นี้จะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
เอาเถอะ ในอนาคตขอให้นางอย่าด่าทอลู่จื่ออวิ๋นเป็นพอ เพราะถึงยามนั้นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อาจเศร้าใจได้
ลู่ฉาวอวี่กลับมาพร้อมฟืนบนหลัง
มู่ซืออวี่หยิบฟืนลงจากแผ่นหลังของเขาพลางเอ่ยว่า “พอแล้ว วันนี้เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ลู่ฉาวอวี่มองไปยังหม้อที่กำลังเดือดพล่าน ความอยากรู้อยากเห็นฉายชัดผ่านแววตา
วันนี้จะมีเนื้อไหม?
จริงสิ ครอบครัวเรายังมีหนี้สินอยู่อีกมาก จะกินเนื้อทุกวันได้อย่างไร?
ช่างเถิด ไม่ว่าหญิงคนนี้จะทำสิ่งใดแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
กลิ่นหอมในหม้อเริ่มลอยโชยคละคลุ้ง ไม่นานก็กระจายออกไปไกล
ลู่อี้กำลังเดินทางกลับมาพร้อมงูที่ล่ามาได้ เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมา เขาก็รับรู้ทันทีว่ากลิ่นนี้มาจากบ้านของตน อันที่จริงเขาได้กลิ่นหอมนี้มาตั้งแต่ลงมาจากภูเขา ครั้นเดินผ่านบ้านเรือนของผู้คน พวกเขาต่างก็ชื่นชมกลิ่นหอมนี้
“กลิ่นหอมมากเจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นกลืนน้ำลาย
“ต้องตุ๋นไว้อีกสักระยะหนึ่ง” มู่ซืออวี่รดน้ำผักที่ปลูกไว้ “ยิ่งตุ๋นนานก็ยิ่งส่งกลิ่นหอม”
ลู่เจินเจินซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงตักข้าวต้มผักป่าออกมาเพื่อเตรียมรับประทาน แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารจากบ้านข้าง ๆ นางก็รู้สึกว่าข้าวต้มผักป่ามีรสขมมากกว่าที่เคย
นางถือชามพลางมองไปยังบ้านข้าง ๆ แล้วถอนหายใจ “บ้านพี่เซวียนทำอาหารรสเลิศทุกวันเลยหรืออย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงต้องอดตายแน่”
“ไปหาอาหารรสเลิศมากินให้ได้ก่อนเถิด” เฉินซื่อกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ครอบครัวของลู่เซวียนก็คือครอบครัวของลู่เซวียน ครอบครัวเราก็คือครอบครัวเรา การใช้ชีวิตให้ดีเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด”
“ข้าไม่ได้อิจฉาสักนิด!” ลู่เจินเจินกล่าว “แต่พี่สะใภ้ ข้าได้ยินมาว่ามู่ซืออวี่ไม่โวยวายถึงเรื่องใดเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือ?”
“วันนี้เสี่ยวอวิ๋นถูกจางไฉ่เสียกลั่นแกล้ง แต่นางรีบเข้าไปช่วยลูกสาวทันที จงซื่อแพ้ราบคาบ นางรักเสี่ยวอวิ๋นมากเลยนะ นางคงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
“เป็นเรื่องดีทีเดียว นับตั้งแต่ที่นางแต่งงาน เพื่อนบ้านของเราก็ทนพฤติกรรมนางไม่ได้ แต่นางจริงใจต่อพี่เซวียนและทุก ๆ คน เรารับรู้ได้จากการที่เห็นนางทำอาหารทุกวัน”
“หญิงผู้นี้…”
เฉินซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าก่อนที่นางจะกล่าวจบก็พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูบ้าน
“มาแล้ว” นางเปิดประตูด้วยความเขินอาย ก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของบุคคลที่ตนกำลังกล่าวถึง
ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามู่ซืออวี่ได้ยินหรือไม่ นินทาในระยะเผาขนเช่นนี้ หากถูกจับได้คงเป็นเรื่องน่าอายไม่น้อย
“เจ้าคือ…”
“พี่เฉิน” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้านำอาหารที่ปรุงมาให้ ท่านลองชิมดูเถิด”
เฉินซื่อจ้องมองไปยังชามในมือของอีกฝ่ายด้วยแววตาประหลาดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...