ลู่ฉาวอวี่วางตะเกียบดังโครม แววตาเจือไปด้วยความเศร้าหมอง เด็กชายหันหลังแล้ววิ่งออกจากลานบ้านไปทันที
ถงซื่อตื่นตระหนก “ฉาวอวี่!”
“ปล่อยเขาไปเถิด!” มู่ซืออวี่ตะคอกอย่างเย็นชา “ข้าชินกับนิสัยเขาแล้ว! ชอบทำตัวไม่เหมือนเด็กวัยเดียวกัน เอาแต่ใจราวกับทุกคนเป็นหนี้เขาหลายร้อยตำลึงเงินอย่างนั้นแหละ”
“ท่านพี่” ลู่จื่ออวิ๋นร่ำไห้ “ท่านแม่ ท่านพี่ได้รับบาดเจ็บ เขาเจ็บตัวมาแบบนี้ ท่านช่วยใจดีกับเขาหน่อยไม่ได้หรือ?”
เถี่ยโถวที่กำลังเคี้ยวบะหมี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“ข้า… ข้าจะไปตามเขาเอง” เถี่ยโถวยืนขึ้น
“ไม่ต้อง เจ้ากินต่อไปเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว “ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวสักพัก จะได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าเขาไม่กลับมา ข้าจะไปตามหาเขาเอง”
“เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด จะไม่คิดทำเรื่องโง่เขลาใช่หรือไม่?” ถงซื่อกล่าวอย่างเป็นกังวล
“ไม่มีทาง”
เขาจะเจริญรุ่งเรืองในอนาคต จะคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดของนางได้อย่างไร? หากเปราะบางถึงเพียงนั้น คงไม่อาจยืนหยัดมาเป็นเวลาหลายปีได้หรอก
งานฉลองมงคลสมรสของลู่ต้าจู้จัดเลี้ยงอาหารสองมื้อ นั่นคือมื้อเที่ยงและมื้อเย็น
ชาวบ้านรับประทานบะหมี่ที่มู่ซืออวี่ปรุงจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้เพียงน้ำแกง นางจึงต้องทำเพิ่มในตอนเย็นเพื่อให้เพียงพอต่อผู้คน
มู่ซืออวี่แอบกลับไปที่กระท่อมเพื่อดูลู่ฉาวอวี่ แต่ก็พบว่าเขายังไม่กลับมา
“ข้าล่ะนับถือเด็กคนนี้จริง ๆ”
มู่ซืออวี่พร่ำบ่น ไม่แม้แต่จะทานอะไร นางเดินทางไปยังสถานที่ที่เถี่ยโถวบอกทันที
ลู่ฉาวอวี่นอนเอนกายอยู่บนต้นไม้ ดูท่าคงผล็อยหลับไป
ทว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้หลับใหล เพียงแสร้งทำให้นางเห็นเท่านั้น
มู่ซืออวี่ไม่ได้รบกวนเขา นางนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ฉีกใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นพลางร้องเพลงเบา ๆ
ลู่ฉาวอวี่ลืมตาและลุกขึ้น เขาจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยท่าทางสงบกว่าตอนที่วิ่งออกไป
มู่ซืออวี่กล่าวว่า “ไม่พอใจข้าหรือ แล้วหิวหรือไม่?”
“ข้าไม่หิว” ลู่ฉาวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ไม่จำเป็นต้องมาห่วงใยข้า”
“ข้าทำแป้งทอดผสมกับต้นหอม ทอดในน้ำมันหมูจนเป็นสีเหลืองทอง โรยด้วยงาหอมกรุ่น น่าทานเชียวล่ะ อร่อยจนข้ากินไปตั้งห้าชิ้น”
หลังจากที่มู่ซืออวี่กล่าวถึงแป้งทอดแล้ว นางก็อธิบายถึงอาหารอีกสองสามอย่างโดยละเอียด ราวกับว่าอาหารเหล่านั้นตั้งอยู่ตรงหน้า
ลู่ฉาวอวี่ลอบกลืนน้ำลาย เขากำลังท้องว่าง อยากจะหาสิ่งใดมาเติมเต็มให้อิ่มหนำ
“เจ้าไม่หิว แต่ข้าหิว ข้าไม่ได้กินอะไรเลยนับตั้งแต่ที่เจ้าหายไป ตอนเที่ยงข้าทำอาหารไว้มากมาย แต่ไม่ได้ลิ้มรสสิ่งใดเลยเพียงเพื่อตามหาเจ้า หลังจากได้พบเจ้า ข้าทำอาหารให้เจ้าได้กิน เเต่ข้ายังไม่ได้ตักเข้าปากสักคำ เจ้าก็หายไปอีก ข้ากังวลจนกินอะไรไม่ลง พอไปทำอาหารเพิ่มให้แขกที่บ้านต้าจู้ ข้าก็ชิมไปแค่สองสามคำเพราะเป็นห่วงเจ้าจนกินไม่ลง สุดท้ายข้าเลยรีบมาตามหาเจ้า”
ลู่ฉาวอวี่อ้าปากค้างพลางหรี่ตาลง
“เถี่ยโถวบอกว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมักขับไล่และรังแกเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเดิมพันกับพวกเขาเพื่อเอาชนะ แต่ฉาวอวี่เอ๋ย เหตุใดถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาชนะผู้อื่น? ชีวิตของเจ้ามีค่าเพียงแค่การเดิมพันเท่านั้นหรือ? เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าหากเถี่ยโถวไม่ช่วยดึงมือเจ้าไว้ หากข้ามาตามหาเจ้าไม่ทัน เจ้าทั้งสองอาจตกลงมาจากหน้าผา สิ่งที่เจ้าทำนั้นอันตรายเพียงใด เคยฉุกคิดบ้างหรือไม่?”
“ข้า…”
“ข้าโกรธเจ้ามาก เพราะเจ้าไม่รักชีวิตตนเองเลย”
“…”
“หากพ่อของเจ้ารู้เข้าคงโกรธไม่น้อย อารมณ์ฉุนเฉียวแบบนั้น เขาอาจทุบตีเจ้าจนได้รับบาดเจ็บ”
“ท่านพ่อไม่ทำเช่นนั้นแน่”
“ลูกชายของเขาไม่รักชีวิต เหตุใดจึงคิดว่าเขาจะไม่ตีสอนเจ้า ลู่ฉาวอวี่ จงจำไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น สิ่งแรกที่เจ้าควรคำนึงถึงคือชีวิตและความปลอดภัยของตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”
“…”
“สิ่งที่ผู้อื่นพูดสำคัญตรงไหน พวกเขาหาข้าวหาปลาให้เจ้ากินหรือ แม้ว่าเจ้าจะทุบตีพวกเขาจนได้รับบาดเจ็บ ก็ย่อมดีกว่าการเอาชีวิตของตนไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น”
“…”
“ผู้คนมากมายในโลกใบนี้ล้วนแตกต่าง ทุกคนเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่างกัน เจ้าสามารถผูกมิตรกับบางคนได้แม้รู้จักกันเพียงวันเดียว เจ้าไม่ใช่คนร่ำรวยเงินทอง อย่าคาดหวังให้ใครมารักเจ้า จงเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ระลึกไว้เสมอว่าครอบครัวรักและอยู่เคียงข้างเจ้า”
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองมู่ซืออวี่พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางกล่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...