หลังจากที่ลู่อี้ก้าวเข้ามา เขาก็พบว่าบรรยากาศผิดแผกออกไป
เขามองมู่ซืออวี่ที่นั่งทำหน้าบึ้งตึง แล้วมองลู่เซวียนที่มีสีหน้าเยือกเย็น สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋น
“นางใช้เงินที่ท่านพ่อให้หมดแล้ว เอาไปซื้อจตุรสมบัติห้องหนังสือ*[1] มาชุดใหญ่”
“ท่านอาไม่พอใจ คิดว่าท่านแม่ใช้เงินสิ้นเปลืองโดยไม่ได้กลั่นกรอง”
“นางคิดว่าท่านอาเป็นสุนัขกัดหลี่ว์ตงปินไม่รับรู้เจตนาดี*[2] มองไม่เห็นความปรารถนาดี”
พี่ชายน้องสาวเจ้าพูดหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ ผลัดกันบอกเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้พ่อของตนฟัง
“เงินมอบให้นางแล้ว เช่นนั้นก็ต้องให้นางแบ่งสันปันส่วน จ่ายไปแล้วก็คือจ่ายไปแล้ว” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ลู่เซวียน พี่สะใภ้ของเจ้าเป็นนายหญิงของครอบครัว เรื่องราวภายในบ้านก็ปล่อยให้นางจัดการเถอะ”
“ท่านพี่!” ลู่เซวียนลุกขึ้นยืน “วันนี้นางใช้เงินไป 4 ตำลึงในคราเดียว”
“นางทำงานหนักเพื่อครอบครัวเพียงนี้ ใช้เงินสักหน่อยจะเป็นไรไป? ข้าพูดแล้วว่าเงินของบ้านนี้ให้นางจัดสรร เจ้าก็ฟังคำพี่สะใภ้เจ้าซะเถอะ” ลู่อี้เอ่ยต่อไปว่า “หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ก็ยังมีข้า”
“ท่านทำให้นางเคยตัว!” ลู่เซวียนกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องนอนของตนไป
มู่ซืออวี่เบ้ปาก “เขาไม่ยินดีก็ช่างปะไร ลู่ฉาวอวี่ ลายมือของเจ้าเป็นเช่นไร?”
ลู่ฉาวอวี่ปรายตามองนาง “พอใช้”
“เช่นนั้นก็ให้เจ้าเขียน” มู่ซืออวี่กอดอก “เขาไม่เชื่อข้า สักวันจะต้องเสียดาย เจ้าเด็กนั่นสายตาคับแคบ อ่านหนังสือก็ไม่เก่ง ยังจะไม่รู้จักโอนอ่อนผ่อนตามอีก เจ้าอย่าเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างล่ะ”
ลู่อี้สงสัยยิ่งกว่าเดิมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เขาคิดจะพูดบางอย่าง แต่มู่ซืออวี่ไม่เปิดโอกาสให้พูด เขาจึงดึงลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปในห้องนอน
ตั้งแต่ถงซื่อและมู่เจิ้งหานย้ายออกไป ลู่เซวียนก็อยู่อีกห้องหนึ่งเพียงคนเดียว ส่วนลู่อี้และลู่ฉาวอวี่อยู่ด้วยกันอีกห้องหนึ่ง
ลู่อี้ไปอาบน้ำเย็นก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่ห้องแล้วถามลู่ฉาวอวี่เรื่องรายละเอียดของเหตุการณ์ ฝ่ายหลังสาธยายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดเจน
“อาย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา ต่อให้เป็นบัณฑิต จะมีสักกี่คนที่เขียนได้จริง ๆ?”
“แม่ของเจ้าไม่เคยทำการค้าขาดทุน ความสามารถของนางในระยะนี้ไม่อาจทำให้พวกเจ้าวางใจได้หรือ?”
“ท่านพ่อเชื่อคำพูดของนางงั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นลูกชายของนาง หากไม่มีใครเข้าข้างนาง เจ้าควรเป็นคนแรกที่ยืนอยู่ข้างนาง คอยสนับสนุนนาง ไม่มีแม่ลูกคนใดบาดหมางกันในชั่วข้ามคืนหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางกำลังพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อชดเชยให้พวกเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
ลู่ฉาวอวี่นอนลงบนเตียงและไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ
วันถัดมา ทันทีที่ลู่อี้ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนชายหนุ่มคนนั้นที่มาจากภัตตาคารเจียงซื่อจะมารับสินค้าแล้ว
“กุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ดที่เจ้าคิดขึ้นมาใหม่เป็นที่นิยมมาก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงภัตตาคารหมายเลขหนึ่งจะออกรายการอาหารที่คล้าย ๆ กันออกมา แต่ลูกค้าก็ไม่ซื้อ ยังคงกินสูตรที่ท่านทำ”
“เถ้าแก่บอกหรือไม่ว่าให้ทำกุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ดมากหน่อย อย่างอื่นให้ทำน้อย ๆ”
“ไม่ ไม่ ไม่ ตอนนี้ลูกค้ากลับมาแล้ว ของอย่างอื่นก็ขายดีไม่น้อย เถ้าแก่บอกว่าทำตามแผนเดิมดีกว่า”
“ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าให้พวกท่านหมดเลยก็แล้วกัน! ท่านดูตาชั่ง ทั้งหมด 620 อีแปะ ข้าจะปัดเศษให้ เอาให้ข้า 600 อีแปะก็พอ อีก 20 อีแปะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางนะ”
“ไม่ต้อง ๆ เถ้าแก่ให้เงินข้ามาแล้ว”
“ที่เถ้าแก่ให้ก็ส่วนที่เถ้าแก่ให้ ข้าให้ก็ส่วนข้าให้ วางใจเถอะ ข้าจะไม่บอกเถ้าแก่ ปริมาณอาหารก็มากขึ้นไม่น้อย หากเถ้าแก่เห็น เขาคงเอ่ยชมท่านด้วย”
“ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าพี่สาวก็แล้วกัน! ถือว่าท่านเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของข้าแล้วนะ”
“อะแฮ่ม” ลู่อี้ยืนอยู่ที่ประตู “นี่เจ้าจะเอาเปรียบหรือ ครู่เดียวก็มีพี่สาวแท้ ๆ มาเพิ่มอีกคนเสียแล้ว”
เฟิงเจิงมองลู่อี้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “มาแล้วหรือ วันนี้ก็นั่งรถม้าพวกเราเข้าไปในเมืองเถอะ!”
“เจ้าเด็กขี้เหนียว” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของลู่อี้ “ดูไปได้ดีที่ภัตตาคารเจียงซื่อนี่”
“เถ้าแก่ใจดีกับพวกเรามาก มีความสุขยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก บางครั้งอาหารในร้านไม่หมด เขาก็ให้พวกเราเอากลับไปให้คนในครอบครัว”
มู่ซืออวี่เอาห่อผ้าห่อใหญ่ออกมาจากด้านใน “นี่เป็นมื้อกลางวันของท่าน หากถึงศาลาว่าการแล้วก็เข้าไปในครัว บอกว่านี่เป็นอาหารกลางวันพิเศษสำหรับทุกคนนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...