เห็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลจางทำตัวแบบนั้นแล้ว คุณป้าหม่าก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับสีหน้าดูถูก
เมื่อคุณลุงหม่าเลิกงานกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น คุณป้าหม่าก็บ่นเรื่องนี้กับเขา “ตระกูลจางนี่ไม่มียางอายกันบ้างเลย เสี่ยวข่ายยังเด็กขนาดนั้น พวกเขาก็ยังคิดจะจับเขาได้”
เด็กชายเป็นคนตัวสูง แต่เขามีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ในสายตาของคุณป้าหม่าที่เป็นหญิงชราอายุราว 50 ปีแล้วเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่
“คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจ้องจะจับเสี่ยวข่ายอยู่น่ะ?” คุณลุงหม่าพูด
ต้องบอกว่าหลินชิงเหอกับลูกชายของเธอนับว่าเนื้อหอมอย่างมาก
การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอันเป็นที่นับหน้าถือตาของยุคนี้จัดเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือพวกเขาทั้งคู่ล้วนรู้จักการเข้าสังคม
เมื่อพบหน้าใคร ทั้งคู่ก็จะทักทายด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะโจวข่าย ที่คราวที่แล้วตอนคุณลุงหม่ากลับมาถึงบ้าน เด็กชายก็เกือบจะชนกับเขาในตอนที่กำลังจะจากไป เมื่อเห็นชายชรากลับบ้านมาพร้อมกับข้าวโพดกระสอบหนึ่ง เขาก็พุ่งตรงเข้าไปช่วยแบกขึ้นมา
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่เมื่อแบกกระสอบข้าวโพดขึ้นไปแล้วพวกเขาจึงรู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน
ดังนั้นคุณลุงหม่าจึงมีความรู้สึกที่ดีมากต่อโจวข่าย
“ก็ฉันเห็นมากับตาฉันน่ะสิ ยัยลูกสาวคนเล็กของตระกูลจางมองหลังของเสี่ยวข่ายราวกับมีอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ” คุณป้าหม่าเอ่ยพลางถ่มถุยไปด้วย “คนอย่างหล่อนน่ะเหรอ? ไม่คู่ควรเลยสักนิด เมื่อไหร่ที่อาจารย์หลินมาฉันจะต้องบอกหล่อน ต้องบอกให้หล่อนระวังเรื่องนี้ให้ดี!”
นางรู้ว่าโจวชิงไป๋จะมาในปีหน้าหรือราว ๆ นั้น
ยิ่งกว่านั้นลูกสาวทั้งสองของตระกูลจางยังกลับมาอยู่ที่นี่แล้วด้วย
แถวนี้มีความลับที่ไหนกันล่ะ? ข่าวโคมลอยสามารถแพร่กระจายไปได้ในทันที
หญิงสาวทั้งคู่ล้วนกลับมาจากชนบท คนโตกลับมาหลังจากหย่าร้าง แม้หล่อนจะไม่มีลูก แต่หล่อนก็เคยตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งขณะอยู่ในชนบท ซึ่งตอนนั้นหล่อนยังไม่ได้แต่งงาน หากหล่อนไม่ได้หนี รู้จักจับผู้ชายดี ๆ ให้เร็วและไม่ถูกฟ้องร้อง หล่อนก็จะต้องได้เข้าศึกษาในทันที ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
ส่วนลูกสาวคนเล็กบ้านจาง นางได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ชนบทหล่อนก็มีคู่หลายคน และมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้อำนวยการชุมชน แต่คนที่ฉลาดจะรู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหนหากได้มาเห็น ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
ทำไมนางจึงรู้มากขนาดนี้? หล่อนเป็นคนเดียวที่ได้ไปอยู่ในชนบทหรือ? คำตอบก็คือทุกครัวเรือนต่างก็ได้โควตาไปอยู่ชนบทเหมือนกัน ซึ่งก็นับเป็นคนจำนวนมากมาย
ดังนั้นแล้วพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะ?
นางจะต้องจับตามองหญิงสาวสองคนนี้
หลินชิงเหอยังไม่รู้ในเรื่องนี้ เพราะเร็ว ๆ นี้ทางมหาวิทยาลัยมีการแข่งพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอมีหลายเรื่องต้องทำเลยทีเดียว
เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จ มันก็เข้าสู่เดือนธันวาคม
ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นลงบ้าง แต่ฤดูหนาวปีนี้ก็นับว่าอุ่นกว่าปีที่แล้ว
ปีที่แล้วมันหนาวจริง ๆ ราวกับจะแข็งตายเลยทีเดียว
ถ้านับตามปฏิทินสุริยคติตอนนี้จะเป็นเดือนธันวาคม แต่ถ้านับตามปฏิทินจันทรคติจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอากาศเริ่มหนาวเย็นลงในแต่ละวัน
โจวข่ายนำกล่องอาหารมาให้ในวันนั้น และเขาก็ทำตามกฎที่เคยทำก็คือนำน้ำแกงไก่มาจากบ้านของเพื่อนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเหลือไว้ให้คนฝั่งนั้น
“แม่ ถ้าเราจุดเตาไฟของเราเองล่ะครับ?” โจวข่ายถาม?
“ถ้าพ่อมาถึงแล้วก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังมีแค่เราสองคนอยู่” หลินชิงเหอตอบขณะดื่มน้ำแกงไก่
โจวข่ายไม่ได้แย้งแต่อย่างใดและเอ่ยขึ้นมา “เมื่อวานนี้ผมไปดูแลบ้านใหม่ของเรามาด้วยล่ะครับ ถ้าพ่อมาถึงแล้ว แม่ต้องคอยจับตามองเขาให้ดี ๆ นะครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลินชิงเหอไม่ได้กลับไปที่นั่นนานมากแล้ว เธอให้ลูกชายเป็นคนไปตรวจดูและทำความสะอาด จึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวตระกูลจาง
“เป็นบ้านตระกูลจางที่อยู่ถัดจากบ้านของเราน่ะครับ” โจวข่ายตอบ
หลินชิงเหอมองเขาด้วยความฉงน
“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แล้วแม่จะรู้เองตอนไปเยี่ยมคุณป้าหม่าในเวลาว่างแล้วกันครับ” โจวข่ายบอก
สองวันที่แล้วเขาเห็นหญิงสาวตระกูลจางที่กลับมาอยู่ในเมืองทั้งคนพี่และคนน้อง เมื่อพวกหล่อนเห็นเขาก็เอ่ยทักทาย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้าก็พอแล้ว
หญิงสาวคนพี่ส่งซาลาเปามาให้เขากิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...