ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 307

สรุปบท บทที่ 307 รู้สึกหมดกำลังใจ: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ตอน บทที่ 307 รู้สึกหมดกำลังใจ จาก ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 307 รู้สึกหมดกำลังใจ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 307 รู้สึกหมดกำลังใจ
EnjoyBook
บทที่ 307 รู้สึกหมดกำลังใจ

พวกหล่อนต่างเป็นหลานสาวของเธอทั้งหมด หากพวกหล่อนทำตัวดี ใครล่ะจะหยุดยั้งไว้

ต่อให้โจวเอ้อร์นีไม่ได้ไป มันก็ยังไม่ถึงตาของโจวลิ่วนีอยู่ดี เพราะมีทั้งโจวซานนีกับโจวซื่อนีอยู่ถัดจากนั้น

ไม่เพียงแต่พวกหล่อนทั้งหมดจะแก่กว่าหล่อน พวกหล่อนยังทำงานเป็นกันหมดด้วย

ส่วนโจวลิ่วนีล่ะ หล่อนทำอะไรได้? คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่จากหมู่บ้านไปสร้างเนื้อสร้างตัวและไม่ได้ประสบความสำเร็จโดยง่าย เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วหล่อนจะต้องช่วยเหลือพวกเขา ไม่มีทางที่จะไปถึงแล้วเป็นภาระมากกว่าเดิม

“พี่สะใภ้รองดูไม่มีความสุขเลยนะคะ” หลินชิงเหอบอก

“ก็ให้หล่อนไม่มีความสุขไปสิ เราจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” สะใภ้สามตอบ

หล่อนจะไม่รู้จักลูกสาวของตนเองได้อย่างไร? หล่อนไม่ควรทำตัวได้คืบจะเอาศอก แล้วก็เป็นฝ่ายไม่พอใจแบบนี้ หล่อนลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นคนแนะนำให้เซี่ยเซี่ยได้เข้าฝึกงานในโรงงานแปรรูปไม้?

สะใภ้รองไม่ได้กลับมา สามสะใภ้จึงพากันสนทนาด้วยความสำราญใจ

และสะใภ้ใหญ่ก็ได้ยกเรื่องค้าขายขึ้นมาเล่า “คราวที่แล้วพี่แบกไก่ไปขาย 2 ตัวล่ะ รออยู่ตั้งนานก็ขายไม่ได้สักที”

หลินชิงเหอฟังแล้วก็ประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไรคะ? น้องชายฉันเก็บเงินได้ตั้งมากมาย พี่ไม่เห็นเหรอคะว่าเขาขายพวกมันออกทั้งหมด?”

สะใภ้ใหญ่เม้มปาก “พี่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันจ้ะ”

หล่อนไม่ได้ตระหนักเลยว่าท่าทางของหล่อนดูประหม่าเกินไป และไม่ได้เอ่ยปากเรียกใครด้วย หล่อนทำเพียงแต่งตัวตามปกติและแบกไก่ 2 ตัวไปยืนหน้าโรงพยาบาล ในความคิดของคนที่เดินผ่านไปมา พวกเขาก็ต้องรู้สึกว่าหล่อนแบกไก่มาเยี่ยมญาติอยู่แล้ว

เป็นแบบนี้ใครล่ะจะเดินเข้ามาถาม?

หล่อนต้องตะโกนเรียกคนบ้าง

แล้วก็อย่าประหม่าเกินไป

“แต่ในเมื่อน้องชายสามของฉันรวบรวมไก่ไปขาย ถ้าขายให้เขาได้ก็ไม่เลวเลยนะคะ แม้เขาจะเรียกเก็บเงินบ้าง แต่มันก็ช่วยประหยัดเวลาแถมพี่ยังได้ทำงานในทุ่งนาด้วย ซึ่งฉันได้ยินคุณแม่บอกว่าปีนี้พี่ได้ที่นาเยอะแยะเลยนี่คะ” หลินชิงเหอบอก

“ปีนี้เราได้พื้นที่เยอะมาก เราเลยคิดว่าจะได้ผลผลิตดีไหมน่ะจ้ะ” พูดถึงเรื่องนี้ สะใภ้ใหญ่ก็ยิ้มออกมา

“นโยบายนี้หายากมาก เราควรขยันทำงานสินะคะ?” สะใภ้สามกล่าวเช่นดียวกัน

ทุกครัวเรือนจะทำการผลิตและจ่ายผลผลิตออกไปในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นของพวกเขา ใครล่ะจะไม่รู้สึกมีแรงขับเคลื่อน? ทุกคนจึงขยันทำงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการใหญ่ในปีหน้า

หลินชิงเหอสนทนากับสะใภ้ทั้งสองอย่างมีความสุขในด้านนี้

ส่วนโจวชิงไป๋ก็คุยกับพี่ชายทั้งสามอย่างออกรสในอีกฝั่งหนึ่ง

บรรดาผู้ชายต่างไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยมากเท่าผู้หญิง ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงยังดีมาก ผ่านมาหลายปีแล้วพี่ชายน้องชายตระกูลโจวไม่เคยผิดใจกันเลย

เมื่อได้ยินว่ากิจการของโจวชิงไป๋ในเมืองหลวงดีมาก พี่ชายคนโตก็โล่งอก “ดีแล้วที่ธุรกิจของแกเป็นไปด้วยดี ฉันเห็นว่าทางด้านนี้คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงแกในปีนี้มาก”

“แต่แกขายเกี๊ยวแล้วจะได้เงินสักเท่าไหร่ล่ะ? คิดทำอย่างอื่นไปด้วยจะดีกว่านะ” พี่ชายคนรองเสนอ

“ทำอย่างอื่นเป็นเรื่องยากอยู่ อยู่เมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำได้น้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” พี่ชายสามเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“แต่พวกเราก็ยังพออยู่ได้นะครับ” โจวชิงไป๋ตอบ “ฤดูร้อนหน้าผมคิดว่าจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเมืองหลวงล่ะครับ”

เขาแจ้งเรื่องนี้กับพี่ชายทั้งสาม

“พาคุณพ่อคุณแม่ไปเมืองหลวง?” พี่ชายใหญ่อึ้ง “แกทำได้เหรอ?”

“ใช่แล้ว แกยังต้องพึ่งพาเมียแกเลี้ยงดูครอบครัวอยู่ที่นั่นเลย เราดูแลคุณพ่อกับคุณแม่ทางนี้ได้นะ” พี่ชายรองมีท่าทางงงงวย ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าร้านเกี๊ยวจะทำเงินได้มากนัก

“คุณพ่อคุณแม่อยู่บ้านที่นี่ก็สบายดีแล้ว แกวางใจเถอะ” พี่ชายสามเอ่ยอย่างงงงวยเช่นกัน

โจวชิงไป๋จึงเอ่ยตอบ “กิจการร้านผมถือว่าเป็นไปด้วยดี ผมเลยไม่มีปัญหาที่จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปน่ะครับ”

“แต่ที่อยู่อาศัยก็เป็นปัญหาเวลาพวกเขาไปถึงที่นั่นนะ พวกเขาไม่คุ้นเคยกับการต้องเดินขึ้นบันได แถมตึกอพาร์ตเมนต์พวกนั้นยังแออัดมากด้วย” พี่ชายสามชี้ประเด็น

พวกเขามารวมตัวกันราวหนึ่งทุ่มและสนทนาจนกระทั่งเลยห้าทุ่มก่อนที่จะแยกย้าย

ขณะที่พี่ชายรองกลับมาถึงห้อง สะใภ้รองก็ยังไม่นอน

พี่ชายรองนึกว่าหล่อนหลับไปแล้วก็สะดุ้งตกใจและเอ่ยถาม “ดึกดื่นป่านนี้คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?”

“ฉันรู้สึกหมดกำลังใจน่ะค่ะ” สะใภ้รองที่รอให้เขากลับมาถึงก็เอ่ยตอบ

“ตอนนี้นโยบายกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เราเลี้ยงไก่เป็นของตัวเองได้แล้ว เช่นเดียวกับเป็ด และไม่มีข้อห้ามเลี้ยงหมูแล้วด้วย แถมยังมีผลผลิตประจำครัวเรือนอีก ชีวิตเรากำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจริง ๆ” พี่ชายรองเอนกายนอนลงและเอ่ยอย่างสบายใจ

ในคำพูดของเขาเองแสดงให้เห็นว่าเขาพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แล้วจริง ๆ น้องชายสี่บอกเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังแล้ว พวกเขาจึงวางใจได้และลงมือทำอย่างอาจหาญ ตราบใดที่ไม่ละเมิดกฎหมายมันก็ไม่มีปัญหา

ต้องบอกว่าอนาคตช่างรุ่งเรือง

“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นค่ะ” สะใภ้รองตอบ

“แล้วคุณพูดถึงเรื่องไหนล่ะ” พี่ชายรองอยากนอนแล้ว แต่เขาก็ยังเอ่ยขึ้นมา

“คุณว่าครอบครัวสี่ดูถูกครอบครัวสายรองของเราอยู่ไหมคะ?” สะใภ้รองเอ่ยออกมา หล่อนคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น

หล่อนนอนไม่หลับในยามราตรีเงียบสงบแบบนี้และทำได้เพียงรอสามีกลับมาคุยด้วย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่สอนวิธีขายให้แล้ว บรรดาสะใภ้ทั้งหลายจดจำไว้นะคะ

เพราะลิ่วนีแท้ ๆ เลย ทำให้แม่ตัวเองนอนไม่หลับแบบนี้ มารับผิดชอบความรู้สึกของแม่ตัวเองด้วยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม