โจวเอ้อร์นีหลุดยิ้มน้อย ๆ
“ความจริงแล้วในสายตาของคนนอกน่ะ ระหว่างอาสี่กับอาก็มีช่องว่างทางสังคมเหมือนกันนะ” หลินชิงเหอบอกหล่อน
เรื่องนี้เป็นความจริง เธอเป็นถึงอาจารย์วิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ใครจะไม่ยกย่องชื่นชมเธอกันล่ะเมื่อพูดออกไปแบบนั้น? อาจารย์สอนภาษาต่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ! ซึ่งไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยว่าตำแหน่งนี้ไม่ต่างจากป้ายทองคำ
ขณะที่โจวชิงไป๋นั้น ต่อให้เขาจะทำงานหาเงินได้ เขาก็เป็นแค่เจ้าของกิจการ แม้จะทำการค้าได้ผลกำไรดี แต่ก็เทียบไม่ได้กับหน้าที่การงานอันสูงส่งของเธอ
ดังนั้นแล้วนี่ไม่ใช่ช่องว่างระหว่างกันหรือ?
โจวเอ้อร์นีไม่แสดงความเห็นใด ๆ
“ช่องว่างก็คือช่องว่าง เมื่อใดที่คนสองคนไปด้วยกันได้ดี มันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยภายนอกพวกนี้หรอก กุญแจสำคัญก็คือคนสองคนจะสนทนาและสานสัมพันธ์กันผ่านเรื่องนี้ไปได้ไหม ซึ่งปัจจัยภายนอกของอาสี่กับอาเองก็ไม่ได้เข้ากันเลย แต่ถึงอย่างนั้นอาก็รักเขา และแน่นอนว่าอาสี่ก็รักอาด้วยเหมือนกัน” หลินชิงเหอเล่าออกมาโดยไร้ซึ่งความเขินอาย
โจวเอ้อร์นีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“คืนนี้ให้เขามาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยสิ เขาน่าจะมารับประทานอาหารด้วยแบบเป็นทางการสักมื้อนะ” หลินชิงเหอบอก
โจวเอ้อร์นีอึกอักไป “อาสะใภ้สี่คะ เรื่องนี้…มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอคะ?”
“เร็วเกินไปอะไรกัน? หนูยังอยากจะปล่อยให้เขาเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ? นี่ก็เลยสองเดือนมาแล้ว พาเขามากินอาหารที่บ้านสักมื้อคงไม่เป็นไรหรอก” หลินชิงเหอเอ่ย “หลังกินอาหารที่บ้านอาเสร็จแล้ว หนูก็ต้องพาเขาไปกินอาหารที่บ้านของคุณปู่คุณย่าด้วยนะ”
“เร็ว…เร็วเกินไปค่ะ” โจวเอ้อร์นีหน้าแดง
“แค่กินข้าวด้วยกันเอง ไม่ใช่ว่าจะให้หนูหมั้นสักหน่อย ถือว่าให้เขาได้ไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวด้วย ตอนคบกันก็ไม่ต้องทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรอก จับมือถือแขนนิดหน่อยได้ไม่เป็นไรแต่อย่าทำอย่างอื่น ถ้าเขาล้ำเส้นเมื่อไหร่หนูก็ไม่ต้องใจดีกับเขา” หลินชิงเหอเตือน
“อาสะใภ้คะ หนูยังไม่ได้ให้เขาจับมือหนูเลยนะคะ” โจวเอ้อร์นีหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“จับมือกันถือว่ายังไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาล้ำเส้นเมื่อไหร่หนูก็ไม่ต้องใจดีกับเขานะ ตบหน้าเขาไปสักฉาดใหญ่ ๆ เลย” หลินชิงเหอสั่งสอน
โจวเอ้อร์นีเขินอายไปหมดแล้ว หลินชิงเหอเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ชั่วพริบตาเดียว หนูก็กลายเป็นเด็กสาวอายุสิบเก้าซะแล้ว”
เหตุผลที่เธอสนับสนุนเรื่องนี้ก็เพราะว่าโจวเอ้อร์นีถึงวัยสมควรจะออกเรือนแล้ว หล่อนอายุ 19 ปีย่างเข้า 20 ปีในปีหน้า หากยังเรียนหนังสืออยู่ในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่นี่หล่อนไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่มีผลกระทบอะไรนักหากจะคบหาดูใจกับใครในช่วงอายุนี้ อีกอย่างหนึ่งหล่อนก็โตมากแล้วด้วย
ให้ทั้งคู่คบหาดูใจกันก่อน หลังจากคบกันไปได้สัก 2 หรือ 3 ปีพวกเขาก็แต่งงานกันได้ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว
แถมหวังหยวนเองก็สนใจในตัวโจวเอ้อร์นีด้วยเหมือนกัน แล้วทำไมถึงไม่ลองเสี่ยงดูล่ะ? ถ้าไปด้วยกันไม่รอดก็แค่แยกทางกันไป อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจนี่ถูกไหม?
หลังคุยเรื่องนี้กับหลานสาวของเธอแล้ว หลินชิงเหอก็เดินลงมากินเกี๊ยวเนื้อแกะอย่างอารมณ์ดี
“กินเกี๊ยวไส้แกะในตอนเช้าแบบนี้รู้สึกว่ามันเลี่ยนไปหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น เธออยากกินเกี๊ยวไส้ผักจี้ฉ่ายเหลือเกิน
“ถ้าคุณกินอิ่มแล้วก็จะไม่ค่อยหิวนะ” โจวชิงไป๋ตอบ จากนั้นก็พูดต่อ “ผมทำไก่ตุ๋นไว้ให้คุณ คุณมากินตอนใกล้เที่ยงสิ”
“ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าก่อนจะไปสอนหนังสือ
โจวเอ้อร์นีเดินลงมาด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย โจวชิงไป๋จึงเอ่ยถาม “หนูอยากกินอะไรเหรอ?”
โจวเอ้อร์นีจึงบอกว่าขอเกี๊ยวไส้หมูกับกะหล่ำปลีหนึ่งชาม หล่อนรู้สึกโล่งใจอยู่เงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าอาสี่ของหล่อนไม่ได้พูดอะไร
หล่อนให้เฉินซานซานเฝ้าร้านในตอนบ่ายและหาเวลามาที่โรงงานผลิตเสื้อผ้าเพื่อตามหาหวังหยวน เมื่อหวังหยวนได้ยินว่าอาสะใภ้สี่ของหล่อนเชิญให้เขาไปร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วย เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันที
“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่รู้เรื่องของเราแล้วเหรอครับ?” หวังหยวนเปลี่ยนประเด็นฉับพลันและมองหน้าโจวเอ้อร์นีเป็นเชิงถาม
“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่อะไรกันคะ คุณอย่าคิดลึกสิ แค่เชิญคุณไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเดียวเท่านั้นเองค่ะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยสั่งสอนแต่ดวงหน้ากลับฉายแววเอียงอายอยู่ส่วนหนึ่ง
ไม่ต้องบอกเลยว่าหวังหยวนรู้สึกปลื้มปิติขนาดไหน ดูเหมือนความพยายามในช่วงนี้ของเขาจะไม่สูญเปล่าแล้ว
ในที่สุดเขาก็ได้ร่วมรับประทานอาหารในฐานะหลานเขยของพวกเขาแล้ว!
“รอผมสักครู่นะครับ ผมจะไปกับคุณหลังจัดการของพวกนี้ในมือเสร็จแล้ว” หวังหยวนบอก
“ไม่รอหรอกค่ะ คุณตามไปที่นั่นเองทีหลังเถอะ ฉันต้องกลับไปเฝ้าร้านก่อน” โจวเอ้อร์นีเอ่ยเสร็จแล้วก็เมินเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...