สิ่งที่มั่นใจคือ นางทะลุมิติมาเสียแล้ว น่าจะทะลุมายังตระกูลที่มั่งคั่งในยุคสมัยหนึ่ง
เนื่องจากไม่มีความทรงจำหลงเหลืออยู่เลย จึงได้แค่เดาว่าเมื่อคืนอาจมีหัวขโมยบุกรุกเข้ามาในห้องทำให้ทุกอย่างเละเทะไปหมด ซ้ำยังใช้กลเม็ดบางอย่างทำให้นางสลบไป จนกระทั่งตอนนี้แขนขาทั้งสองข้างยังคงอ่อนแรงและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ นางรู้สึกพล่าเลือน ไม่ชัดเจน
แต่สิ่งที่ไม่มั่นใจคือ นางจะต้องตายด้วยวิธีไหน ถึงจะสามารถย้อนกลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ได้
เหตุที่ทะลุมิติมาก็เพราะนางถูกไฟดูดระหว่างทำความสะอาดเครื่องทำน้ำอุ่นในช่วงสิ้นปี แต่ที่นี่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟนี่นา แค่คิดจะสัมผัสมันเพื่อย้อนกลับไปยังไม่ได้เลย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของซ่งฝูหลิงก็รู้สึกถูกบีบแน่นจนเจ็บปวด
นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยว่า ถ้าพ่อแม่ต้องมาเสียลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างนางไป พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือไม่ เกรงว่าคงจะโอบกอดร่างที่ถูกไฟดูดจนไร้ชีวิตของนางไว้ แล้วอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญเพื่อตามนางไปให้ได้ เอ่อ ช้าก่อน หากตายอีกรอบ บางทีอาจจะมีโอกาสเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ซ่งฝูหลิงนั่งตัวตรง ในที่สุดนางก็วางมือที่ก่ายหน้าผากลง ดวงตาแวววาวกลมโตคู่นั้นเบิกกว้างจนกลมดิก และในขณะนั้นเอง ราวกับมีบางอย่างตอบสนองต่อความวิตกกังวลของนาง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากด้านนอกของประตู
เฉียนเพ่ยอิงผลักประตูห้องให้เปิดออกอย่างตะลีตะลาน นางยืนอยู่หน้าประตูด้วยร่างกายที่ยังคงโซเซ
เมื่อดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เฉียนเพ่ยอิงจ้องมองไปยังหญิงสาวผอมบางที่อยู่บนเตียงตรงหน้าตนด้วยความงุนงง นางมองไปยังใบหน้าที่คล้ายคลึงประมาณแปดในเก้าส่วนกับลูกสาวของตนตอนที่มีอายุประมาณสิบขวบ หัวใจของนางเต้นอย่างรุนแรง ราวกับตามหาเสียงของตัวเองไม่เจออย่างไรอย่างนั้น จึงทำได้เพียงอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก
คนที่ทำลายความเงียบคือซ่งฝูหลิงที่ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำตาอุ่นๆ นางบีบเนื้อบริเวณต้นขาจนแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แล้วส่งเสียงเรียกด้วยความรักว่า “แม่” ในใจนางคิดหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ถ้าหากไม่ใช่ ก็จะอ้างว่าเป็นฝันร้าย
เสียงที่เรียกว่าแม่นั้น ทำให้น้ำตาเฉียนเพ่ยอิงไหลพรากราวกับห่าฝน
ใช่แล้วล่ะ ใช่แล้ว ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกสาวอายุยี่สิบกว่า ถึงเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนที่อายุแค่สิบกว่าขวบได้ แต่ก็มั่นใจว่านางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตนอย่างแน่นอน
เฉียนเพ่ยอิงร่ำไห้จนยืดตัวตรงไม่ไหว “ลูกทำให้แม่ตกใจแทบตาย แม่ตกใจแทบจะตายอยู่แล้วนะฝูหลิง แม่คิดว่าจะไม่ได้พบลูกอีกแล้ว คิดว่าจะไม่ได้พบแล้วเสียอีก”
ถึงตอนนี้ ในที่สุดแม่ลูกก็ได้พบกันเสียที เป็นฉากที่ลุกลี้ลุนลนอย่างมาก เป็นฉากที่กอดกันร่ำไห้ เป็นการพูดเพ้อเจ้อที่ต่างฝ่ายต่างถูไถร่างกายของกันและกันไปมาในสภาพที่ร้อนรน
เฉียนเพ่ยอิงลูบไล้ใบหน้าลูกสาวไปมาไม่หยุด “ทำไมลูกถึงได้ซูบผอมขนาดนี้ ลูกอายุเท่าไหร่แล้ว ขาที่เรียวยาวกับรูปร่างที่สูงใหญ่ก็เสียเปล่าไปแล้วสิ พวกเรามาเกิดใหม่ในร่างของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ”
“แม่คะ ท่านเองก็ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เหมือนกันเหรอ แย่แล้วๆ พวกเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ลูกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่เหมือนกัน พอลืมตามาก็เป็นแบบนี้แล้ว ว่าแต่แม่เถอะ เหมือนว่าท่านจะดูอ่อนวัยกว่าเดิม เหมือนแม่เมื่อก่อนเลยค่ะ เพียงแต่สีผิวแลดูเหลืองไปนิด เหมือนสุขภาพไม่ค่อยดีเท่านั้นเองค่ะ”
“เวรกรรมจริงๆ ชาติที่แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่นา ลูกว่าไหม แล้วทำไมถึงถูกไฟดูดทะลุมิติมายังยุคโบราณได้ล่ะ ที่นี่คือยุคโบราณใช่ไหม นี่ลูกรัก ลูกคงไม่รู้สินะ ตอนที่ลูกถูกไฟดูดแล้วตกลงมาจากบันได อกแม่แทบแตก ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว ในหัวตื้อไปหมด รู้แค่ว่าต้องพุ่งไปจับตัวลูกไว้ พอตอนนี้มานึกย้อนดูแล้ว โชคดีที่กอดลูกไว้ทัน ถ้าไม่อย่างนั้น ขืนลูกมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วจะทำยังไงล่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่งฝูหลิงก็รู้สึกตื่นเต้นและเดือดดาลอย่างมาก นางจะต้องคิดบัญชีให้ได้ จะต้องทำให้ได้
ก็คงมีแค่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าหลังจากได้สติแล้วนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่อีกก็หวาดกลัวแทบแย่
“แม่รู้ด้วยเหรอคะ แม่คะ เมื่อกี้ลูกรู้สึกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว…
…ก็อย่างว่าล่ะนะ ขอถามหน่อยเถอะว่า ทำไมต้องทำความสะอาดช่วงสิ้นปีด้วย ทำไมต้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมขนาดนั้นด้วย มีแขกคนไหนเข้ามาในบ้านแล้วจะมองลึกเข้าไปในซอกหลืบพวกนั้นด้วยเหรอ ถ้ามีละก็ เขาคงต้องป่วยแน่ๆ…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...