ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 162

พื้นที่กว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองมาก

ซ่งฝูเซิงนำมาเปรียบเทียบกับเมืองที่เขาเคยไปมา

ทั้งที่เป็นพื้นที่ที่มีท่านอ๋องปกครองและพัฒนาเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเมืองเฟิ่งเทียนที่ท่านอ๋องเยี่ยนปกครองอยู่ดูยิ่งใหญ่มากกว่า

เมื่อพวกเขาเดินเข้าเมืองก็ถูกพาเดินเลียบไปทางหอคอย เพื่อเดินไปยังเส้นทางถนนที่มุ่งสู่ตำบลถงเหยา โดยใช้เวลาเดินนานกว่าหนึ่งชั่วยาม

ในช่วงเวลาที่เดินบนถนนด้านนอก แม้จะไม่เห็นภายในตัวเมืองเฟิ่งเทียนว่ามีความครึกครื้นสักเพียงใด แต่ช่วงเดินทางก็เห็นการแต่งกายของประชาชนที่เดินผ่านมาเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมาก

ดูร่ำรวย ประชาชนที่อยู่ในสถานที่นี้ทำไมถึงดูร่ำรวย?

ซ่งหลี่เจิ้งไม่ได้สนใจเมืองเฟิ่งเทียนเพราะเขาก็ไม่เคยไปเมืองหลวงของถิ่นที่อยู่อาศัยเดิม ไม่เหมือนกับซ่งฝูเซิงที่สามารถเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างเมืองที่ท่านอ๋องทั้งสองท่านปกครอง

แต่เขาเคยไปตำบลถิ่นบ้านเกิดของเขา

พวกเขาใช้เวลาในการเดินทางไม่ถึงสองชั่วยามก็เข้าเขตตำบลถงเหยา ซ่งหลี่เจิ้งรู้สึกได้ว่าผู้คนแถวนี้เป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย

เขตตำบลมีพื้นที่กว้างขวาง ร้านค้าข้างทางมีสินค้าขายหลากหลายและมองดูเป็นระเบียบมาก มีตึกเล็กๆ หลายชั้น บนตึกเหล่านั้นแขวนโคมแดงส่องแสงสว่างไสว

มองบ้านเรือนแต่ละหลังไม่ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่พอมองเห็นบ้านของประชาชนที่นี่ ที่ทำมาจากอิฐทั้งหมด

แม้ชั่วยามนี้ หากพวกเขาออกนอกเมือง จะต้องอาศัยเจ้าหน้าติดต่อสื่อสารกับทหารที่เฝ้าประตูเมืองถึงจะสามารถออกไปได้ ร้านค้าริมถนนก็พากันปิดร้านกันแล้ว ร้านขายสินค้าแผงลอยก็เก็บแผงไปแล้ว คนส่วนใหญ่ก็นอนหลับกันแล้ว แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่ามีความมั่งคั่งบริบูรณ์

พอจะสามารถนึกภาพในวันพรุ่งนี้เช้าได้ว่าจะเต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่านและคึกคักขนาดไหน

ได้ยินเจ้าหน้าที่ที่นำทางบอกไว้ ตำบลถงเหยาเป็นตำบลใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากและเป็นตำบลที่อยู่ใกล้เมืองเฟิ่งเทียนมากที่สุด

เนื่องจากเมืองเฟิ่งเทียนมีการจัดระเบียบคุมเข้มภายในเมือง อยากเข้ามาทำการค้าขายในเมือง ก็สามารถทำการค้าขายเฉพาะพื้นที่ที่ระบุไว้เท่านั้น พื้นที่ที่ระบุไว้หรือร้านแผงลอย จำเป็นต้องจ่ายเงินภาษีแพงมาก

การจ่ายเงินภาษีเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ประชาชนธรรมดาขายไข่ไก่ ขายผัก จะไม่สามารถจ่ายเงินภาษีได้มากนัก เงินที่ขายของได้นอกจากจะไม่พอในการจ่ายภาษีแล้วยังต้องควักเงินตนเองจ่ายไปอีก

เมื่อพลเมืองด้านล่างอยากจะขายสิ่งของทางการเกษตรเพื่อหารายได้ พวกเขาจะไปที่ตำบลถงเหยาซึ่งอยู่ใกล้เมืองเฟิ่งเทียนมากที่สุด

เนื่องจากตำบลนี้เก็บภาษีน้อย เมื่อไปค้าขายที่ตำบลนี้จะไม่เหมือนเมืองเฟิ่งเทียนที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ตำบลถงเหยาก็จึงค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา

มีหลายครอบครัวใหญ่ในเมืองเฟิ่งเทียนมาจับจ่ายซื้อของและตั้งใจนั่งรถออกมานอกเมือง เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สดใหม่และราคาย่อมเยาว์

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าตลาดใหญ่ในเมืองเฟิ่งเทียนเป็นอันดับหนึ่ง ตลาดในตำบลถงเหยานี้ก็จะเป็นอันดับสอง เสียภาษีน้อย ขายสินค้าราคาถูก มีสินค้าขายหลากหลายชนิด ตลาดแห่งนี้มีสินค้าขายในราคาย่อมเยา

ซ่งฝูหลิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย นางคิดว่า เข้าใจแล้ว ตำบลถงเหยาเป็นตำบลที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเฟิ่งเทียน มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ในเขตตำบล มีกิจกรรมการค้าขายต่างๆ เป็นต้น โดยอาศัยว่าเป็นตำบลที่ใกล้กับเขตเมืองเฟิ่งเทียนถึงพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

เมื่อทุกคนได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา

ต้องขอบคุณใต้เท้าเสิ่นย้อนไปแปดชั่วอายุคนจริงๆ ขอบคุณใต้เท้าและขอบคุณบรรพบุรุษของท่าน

ใต้เท้าไม่ได้แยกพวกเราออกจากกันและยังให้พวกเราได้มาอยู่ในสถานที่ที่ดี สามารถออกมาเขตตำบลเพื่อขายถั่วเมล็ดสนได้ ดีจริง ซื้อสิ่งของอะไรก็สะดวกสบาย

แต่ละคนดูมีเรี่ยวแรงในการเดินมากขึ้น

แม้เจ้าหน้าที่ที่นำทางจะไม่ค่อยใส่ใจพวกเขาเท่าไร แต่พวกเขาแต่ละคนก็เดินกันอย่างมาดมั่น

ซ่งฝูเซิงเดินอยู่บนถนนและคอยฟังข่าวสารไปด้วย เรื่องราคาในตลาดถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ร้านค้าต่างๆ สามารถรับซื้อเห็ดจากพวกเขาในราคาสูงที่สุดได้ เจ้าหน้าที่นำทางเป็นคนในเมือง ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียน เขารู้แต่เพียงว่าตลาดของตำบลถงเหยาเป็นตลาดใหญ่ เขาไม่ใช่พ่อค้า สิ่งของที่ซื้อเข้าบ้านมาก็เป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิง เขาสามารถบอกรายละเอียดได้เพียงแค่นี้

ซ่งฝูเซิงลองสอบถามข้อมูล หมู่บ้านเหรินจยาเป็นอย่างไรบ้าง?

เจ้าหน้าที่นำทางก็พูดประโยคนี้อีก ข้าเป็นคนในเมืองและทะเบียนบ้านก็อยู่ในตัวเมืองเฟิ่งเทียน เจ้าถามข้าเกี่ยวกับเรื่องภายในหมู่บ้าน? เจ้าโง่หรือเปล่า? เดี๋ยวเจ้าก็ค่อยๆ รู้เอง ข้าไม่สามารถบอกอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว

ยังดีที่หมู่บ้านเหรินจยาอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตตำบลถงเหยามากนัก มองดูหมู่บ้านเหรินจยาแล้วน่าจะไม่เลว

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว มองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ความรู้สึกบอกได้ว่าทุกครอบครัวค่อนข้างมีอันจะกิน อย่างน้อยก็ดีกว่าหมู่บ้านเก่าของพวกเขามาก

หมู่บ้านเหรินจยาอยู่ในทําเลที่ตั้งดีอย่างนี้ ตำบลถงเหยาสามารถพึ่งพาเมืองเฟิ่งเทียนในการพัฒนาเมืองต่อไปได้ หมู่บ้านเหรินจยาก็พึ่งพาตำบลถงเหยาแล้วจะยากจนได้อย่างไร?

ไม่ยากจนก็ดีแล้ว

ในที่สุดทุกคนก็มาถึงที่หมายแล้วและเป็นหมู่บ้านที่ดีเช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้และความหวังกับสถานแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ซ่งฝูเซิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

แต่ยังไม่ทันที่ซ่งฝูเซิงจะถอนหายใจเสร็จ ใจเขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

เขาเห็นตัวแทนจากหมู่บ้านที่มาช้า ถือโคมไฟเดินมาเพียงแค่คนเดียว และคนที่มาไม่ใช่หลี่เจิ้งที่เป็นตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน

ตามคําบอกเล่า เขาเป็นลูกชายคนเล็กของเริ่นหลี่เจิ้ง เขามาแทนพ่อของเขา เขาบอกว่าท่านพ่อของเขานอนหลับไปแล้ว

นอนแล้ว?

มีเจ้าหน้าที่จากในเมืองมาส่งชาวบ้านกลุ่มใหม่ นี่เป็นเรื่องของทางการ

ในฐานะหลี่เจิ้ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ออกหน้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะให้เกียรติเจ้าหน้าที่บ้าง ต่อให้โกหกบอกว่าขาหักมาไม่ได้ ก็ยังดีกว่าพูดตรงๆ ว่านอนหลับไปแล้ว

ซ่งฝูเซิงหรี่ตามองอยู่ด้านข้าง หลี่เจิ้งของหมู่บ้านนี้ถ้าไม่ใช่เป็นคนโผงผางก็คงมีคนหนุนหลัง เขาถึงไม่เห็นเจ้าหน้าที่ผู้น้อยที่มาจากในเมืองอยู่ในสายตา

เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง

คนที่สามารถดำรงตำแหน่งหลี่เจิ้งได้ ไม่สามารถที่จะขาดความรอบคอบได้ มองท่านลุงซ่งหลี่เจิ้งก็รู้แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรอบคอบแต่ก็ไม่คงทำเรื่องแบบนี้

หลังจากที่เจ้าหน้าที่นำทางฟังคํากล่าวนี้แล้ว สิ่งที่ปรากฎออกมาก็ยืนยันถึงสิ่งที่ซ่งฝูเซิงคิดไว้ในใจว่า คนที่รับตำแหน่งหลี่เจิ้งในหมู่บ้านเหรินจยานี้มีคนหนุนหลังอยู่

เจ้าหน้าที่ไม่มีอาการแปลกใจเลย เขาให้ลูกชายคนเล็กของเริ่นหลี่เจิ้งรับหนังสือราชการที่มีตราประทับอยู่ด้านบนและกําชับว่า “จัดที่พักอาศัยให้กับพวกเขา” หลังจากนั้นก็เดินกลับไปท่ามกลางความมืด

ลูกชายคนเล็กของเริ่นหลี่เจิ้งพลางพูดขึ้น ต่อไปก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ยืนส่งเจ้าหน้าที่จนเดินออกไปไกลแล้ว ก่อนจะหันกลับมายกโคมไฟที่อยู่ในมือขึ้นสูง

เขาส่ายไปมาเหมือนอยากรู้ว่าคนพวกนี้มีหน้าตาอย่างไร บังเอิญโคมไฟไปส่องอยู่ที่ซ่งฝูหลิงพอดี เขาก็เลิกคิ้ว

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ซ่งฝูหลิงล้างหน้าจนสะอาด

ซ่งฝูหลิงเกลียดสายตาแบบนี้มากและเกรงว่าพี่สาวเถาฮวาอันแสนสวยของนางจะถูกสายตานี้คุกคาม นางรีบจับมือเถาฮวาอย่างรวดเร็วแล้วบิดตัวให้ไปอีกด้านหนึ่ง ให้คนอื่นมองเห็นเพียงแค่แผ่นหลัง

“แค่ก!” ลูกชายคนเล็กของเริ่นหลี่เจิ้งกระแอมออกมา ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “เห็นแม่น้ำนั่นไหม? พวกเราข้ามแม่น้ำกันเถอะ ฝั่งด้านนั้นของแม่น้ำมีบ้านว่างเรียงรายกันเป็นแถวให้กับพวกเจ้า”

ท่านยายหวังพูดกับหญิงสูงวัยหลายคนอย่างดีใจว่า “โอ้ว ช่างดีจริงๆ ฟังสิ คนในหมู่บ้านนี้เอาบ้านออกมาให้พวกเราอยู่”

“ใช่ หมู่บ้านนี้มองแล้วช่างดูดี จะไม่ให้ผู้คนดีได้อย่างไร?”

“โอ้ว มีบ้านว่างทั้งแถว พออยู่แล้ว”

ซ่งหลี่เจิ้งตื้นตันใจที่สุด เขายกมือขึ้นคารวะเพื่อเป็นการขอบคุณเริ่นจื่อเฮ่าและฝากไปบอกเริ่นหลี่เจิ้งว่า พรุ่งนี้เขาจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ในใจของเขาก็ครุ่นคิดว่ าพรุ่งนี้เขาจะไม่ไปเยี่ยมด้วยมือเปล่า จะต้องมีถั่วเมล็ดสนหลายกิโลกรัมติดมือไปเพื่อให้เป็นของกำนัล

เริ่นจื่อเฮ่าพูดอย่างรำคาญ “ดึกแล้ว ทำอะไรกันเบาๆ หน่อย รีบเดินข้ามแม่น้ำกันไปเถอะ”

ที่หน้าแม่น้ำ

ซ่งฝูเซิงถือคบไฟถามจากด้านหลัง ทําไมข้างหน้าถึงไม่เดินไปล่ะ?

เกาเถี่ยโถวตอบกลับมา “ลุงสาม รถเข็นมือผ่านไปไม่ได้ สะพานแห่งนี้สามารถเดินผ่านไปได้แค่สองคนต่อหนึ่งครั้ง”

แท้จริงแล้ว เขายังมีอีกประโยคหนึ่งที่อยากจะพูด สะพานแห่งนี้ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก

ยังดีตอนที่อยู่บ้านแม่นางสวี พวกเขาได้ช่วยกันซ่อมถุงกระสอบถั่วเมล็ดสนที่ขาด มิเช่นนั้นคงจะต้องลำบากมากแน่

ตอนนี้คงต้องแบกมันเองแล้ว

เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันขนย้ายสิ่งของจากฝั่งแม่น้ำด้านนี้ พวกเขากระสอบแบกแต่ละใบข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม

พวกผู้หญิงและเด็กๆ ทยอยขนของเครื่องใช้ภายในบ้าน เดินข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม

แต่ละคนเหนื่อยจนเหงื่อแตกพลั่ก เหล่าชายฉกรรจ์ไม่สนใจที่จะหยุดพักหายใจ พวกเขาแบ่งคนเป็นกลุ่มเพื่อยกรถเข็นอันว่างเปล่าแต่ละคันขึ้น ความกว้างของสะพานทําได้เพียงยกรถเข็นขึ้นถึงสามารถข้ามสะพานไปได้

เมื่อทุกคนมาถึงอีกฝั่งของแม่น้ำแล้ว พวกเขาใช้คบไฟเพื่อส่องหาบ้าน พวกเขากลับหามันไม่พบ

ไม่เห็นหรือ? บ้านนั้นคงต้องอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก

พวกเขานำสิ่งของมาบรรทุกบนรถใหม่ ไม่มีถนน มีเพียงหญ้าสูงประมาณหนึ่งเมตร พวกเขาต้องออกแรงผลักรถไปข้างหน้า ถ้าไม่สามารถเข็นรถได้จริงๆ พวกเขาก็ทยอยนำสิ่งของออกมา ด้านหลังของพวกเขายังต้องแบกเด็ก มือยังต้องคอยพยุงผู้สูงอายุ

ในเวลานี้ทุกคนไม่รู้สึกอบอุ่นในใจอีกต่อไปแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนโง่และรู้สึกว่าไม่ค่อยดีแล้ว

แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะแย่ถึงขนาดนี้

กระท่อมที่ว่างเปล่ารายเรียงกันเป็นแถวอยู่ไม่ไกลจากภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาดูเหมือนจะถูกจี้สกัดจุดให้แน่นิ่งก็ไม่ปาน

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสมือนหยุดนิ่ง บนหัวของทุกคนเหมือนมีลมพัดผ่าน ใจของพวกเขารู้สึกเย็นวาบ

บ้านหลังคามุงจากพวกนั้นมีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก บ้านบางหลังก็พังลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว