หมี่โซ่วปลอบซ่งฝูหลิง มือน้อยๆ ลูบแขนของพี่สาวเป็นเชิงปลอบ
กลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกสำคัญในครอบครัวจะเกิดรอยร้าว จึงอธิบายด้วยจิตใจของพ่อพระ
“พี่สาว ท่านอย่าเป็นแบบนี้สิ ลูกม้ามันถูกฝึกมาแล้ว ท่านพี่ก็ดีกับมันหน่อย
ตอนแรกมันก็ทำกับข้าแบบนี้ พอข้าเข้าไปใกล้มันก็หันตัวหนีไม่สนใจข้า
พี่ซุ่นจื่อเรียกมัน ปาจวิ้น ต่อไปนี่ก็คือนายน้อยของเจ้า มันกลับหันก้นให้ข้า ดูไม่อยากติดตามข้าอย่างเห็นได้ชัด
แต่พอข้าตื๊อมัน พูดกับมันดีๆ จากใจจริง บอกว่าข้าอายุเพิ่งห้าขวบ ตอนนี้ถึงแม้ข้าจะไม่โดดเด่น แต่อนาคตของข้าสดใสนะ เจ้าติดตามไม่ผิดคนหรอก ข้าจะดีกับเจ้าแน่นอน มันก็เริ่มให้ข้าลูบ ต่อมายังยอมให้ข้าขี่ ไม่มีท่าทีไม่ยินดี”
หมี่โซ่วพูดจบยังได้แนะนำ “พี่สาว ไว้เดี๋ยวถึงบ้าน พี่ก็ลองพูดกับมันแบบนี้สิ บอกว่าพี่เพิ่งจะสิบสามขวบ ทั้งยังเป็นสตรี พี่จะดีกับมัน แต่พี่ก็ต้องพูดมาจากใจนะ ถ้าโกหกมัน ข้าคิดว่ามันก็รู้สึกได้ มันจะไม่พอใจ”
ซ่งฝูหลิง “…”
ไม่ทำ
“ปาจวิ้น นี่คือชื่อของมันรึ เหอะ” ซ่งฝูหลิงแหวกม่านมองลูกม้าอีกรอบ “หล่อตรงไหน จำก็ยาก ในเมื่อมาอยู่บ้านเราแล้ว มีเจ้านายใหม่แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนชื่อตามไปด้วย ต่อไปก็เรียกว่า เสี่ยวหง เป็นไง”
“เสี่ยวหงเหรอ”
“ไม่เพราะเหรอ”
หมี่โซ่วเกาหัว หันไปขอคำชี้แนะจากซ่งฝูเซิง “ท่านลุง ท่านว่าชื่อนี้ดีไหม”
“ดี เพราะดี ชื่อบ้านๆ เลี้ยงดูง่าย เจ้าดูอย่างเซิ่งจื่อหมาของซ่วนเหมียวจื่อสิ แข็งแรงขนาดไหน”
อืม เฉียนหมี่โซ่วได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เพราะเขาก็ไม่ได้ต้องการให้ต่อไปเสี่ยวหงฉลาดเก่งกาจอะไร ขอแค่มันมีชีวิตที่สงบสุข เติบโตอย่างแข็งแรงมีความสุขเป็นพอ
“เสี่ยวหง เสี่ยวหง” หมี่โซ่วแหวกม่าน กวักมือเรียกอย่างอารมณ์ดี
ปาจวิ้นหันไปมองรอบๆ เจ้าเรียกใคร
“เสี่ยวหง ต่อไปเจ้าชื่อเสี่ยวหงแล้วนะ ชอบชื่อนี้หรือไม่”
เจ้าคิดว่าไงล่ะ จากปาจวิ้นเป็นเสี่ยวหง รังแกมันที่พูดไม่ได้หรืออย่างไร
ระหว่างทาง ซ่งฝูเซิงก็ได้กระซิบถามหมี่โซ่วว่า ทำไมถึงคิดว่าท่านแม่กับท่านย่าของแม่ทัพเล็กชอบเจ้ามาก ทั้งยังบอกว่าพวกนางยินดีให้เจ้าไปหาอีก เกิดว่าพวกนางแค่พูดไปตามมารยาทล่ะ
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หมี่โซ่วบอกทุกคนว่าเขาสังเกตสีหน้าอย่างไร ใช้การสังเกตสีหน้าตัดสินว่าอีกฝ่ายใจดีหรือไม่
ถึงแม้เด็กจะใช้คำพูดอธิบายได้ไม่เต็มที่นัก แต่เขาแสดงการเลียนแบบเป็น
เฉียนหมี่โซ่วเลียนแบบสีหน้าหลายแบบ แบบแรกเป็นสีหน้าตอนที่ท่านลุงท่านป้าและพี่สาวเห็นเขา
ซ่งฝูเซิงรู้สึกขำ “เจ้าอย่าคิดเองเออเอง ใครเขาเป็นห่วงเจ้ากัน”
หมี่โซ่วหัวเราะ คิดในใจ พวกท่านปิดบังข้าไม่ได้หรอก ข้ารู้สึกได้ตลอดเวลาว่าท่านลุงท่านป้าและก็พี่สาวดีต่อข้าจากใจจริง
แบบที่สองเป็นสีหน้าของเจ้านายเฉิน สีหน้าที่หมี่โซ่วทำคือยิ้มตาหยี จากนั้นเขาก็พูดว่า สังเกตให้ดีๆ จะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรในดวงตา แต่ก็บอกไม่ถูก
แบบที่สามก็คือ สีหน้าของท่านย่าลู่พั่น หมี่โซ่วเลียนแบบท่านั่งของเหล่าฮูหยิน เลียนแบบสีหน้าตอนที่เขาเพิ่งเข้าไปในหน่วนเก๋อ เหล่าฮูหยินเงยหน้ามอง เล่นเอาซ่งฝูหลิงขำจนหลุดหัวเราะเสียงดัง
เฉียนเพ่ยอิงตีซ่งฝูหลิงเพื่อให้หยุดก่อกวน น้องกำลังแสดงอยู่
หมี่โซ่วเองก็ไม่พอใจพี่สาว ทำเขาเสียสมาธิ จากนั้นก็เลียนแบบตอนเหล่าฮูหยินเห็นกล่องที่พี่ซุ่นจื่อถือมา เงยหน้าขึ้น เชิดคางเล็กน้อย สองตาหรี่ลง จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วฉีกยิ้ม
หมี่โซ่วบอกว่า หลังจากนั้นท่านย่าของพี่ชายก็ยิ้มออกมาจริงๆ ส่วนท่านแม่ของพี่ชายเขาไม่ได้สังเกตเพราะนั่งอยู่ด้านข้าง มองไม่เห็น
พูดถึงเรื่องกล่อง ซ่งฝูหลิงก็นึกอยากเปิดกล่อง ขอยืมเล่นก่อนแล้วกัน
ห้ามซ่งฝูเซิงบ่นเรื่องห้ามแตะต้องของอันตราย ซ่งฝูหลิงเอาหน้าไม้มาไว้ในมือ สำรวจพลางแซวน้องชาย “เจ้าช่างสังเกตขนาดนี้ ทำไมถึงขอข้าวไม่ได้ผล”
“เพราะข้าพูดแบบอ้อมๆ พี่ชายไม่เข้าใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...