เกาถูฮู่มีบุตรชายทั้งหมดห้าคน
บุตรชายคนโต อายุ 25 ปี ชื่อเกาเถี่ยจ้วง ตอนนี้แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขาถูกซื้อตัวมาตั้งแต่เป็นเด็กตั้งแต่สมัยเกิดอุทกภัย นางมีนิสัยอ่อนโยน หลังจากแต่งงานนางก็คลอดบุตรชายฝาแฝดให้กับเขา
ส่วนบุตรที่เหลือยังไม่ได้แต่งงาน บุตรชายคนที่สอง เกาเถี่ยโถว อายุยี่สิบปี หลังจากนั้นก็ไล่ลงมาตามลำดับ เกาถูฮู่มีบุตรชายคนเล็กอายุสิบสี่ปี หลังจากที่ภรรยาของเขาคลอดลูกคนเล็กคนนี้ นางก็ตายลง
เนื่องจากตระกูลเกาไม่มีผู้หญิงกับเด็กให้ดูแลมากนัก จึงเป็นครอบครัวที่มีภาระน้อยที่สุด และมีเรี่ยวแรงในการใช้แรงงานมากที่สุดในหมู่บ้าน
เมื่อเกาถูฮู่ตะโกนให้สัญญาณว่าหยุด บุตรชายของเขาก็ช่วยถอดตัวตู้รถออก เพื่อให้ควายเฒ่าได้พักผ่อน ดื่มน้ำและกินหญ้า
ในสายตาของชาวไร่ชาวนา คนเหน็ดเหนื่อยไม่เป็นไร แต่หากสัตว์เหนื่อยล้า นั่นจะยิ่งทำให้คนสงสารพาลไม่สบายใจ
เกาถูฮู่เอามือลูบควายเฒ่าของเขา ที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ อีกด้านก็เร่งลูกสะใภ้ใหญ่ตั้งหม้อทำอาหาร
ลูกสะใภ้คนโตถามเขาว่า “เตีย พวกเราต้มข้าวโพดดีไหม? ข้าเห็นครอบครัวหลี่เจิ้งกับครอบครัวซ่งถงเซิงดูเหมือนจะต้มข้าวโพดกินกัน”
พวกผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว จึงมักจะกล้าได้กล้าเสีย
เกาถูฟูไม่คิดมากเพราะเขาคิดได้ว่าอาหารไม่ได้มาจากการอดออม แต่ต้องไปหามา ดังนั้นในแต่ละวันที่เขาขายเนื้อหมู การใช้ชีวิตของพวกเขาจึงถือว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่บ้าน
เขายกมือตวัดสั่งการ “อาศัยช่วงค่ำมืดค่อยทำ ยังมีคนในหมู่บ้านที่ยังตามมาไม่ทัน ถึงตอนนั้น หากคนอื่นได้กลิ่นอาหาร ก็จะหาเหตุมาขอของกินไม่ได้ เจ้าต้มข้าวโพดหม้อหนึ่ง อีกกระทะหนึ่งก็ผัดเนื้อหมู ผัดได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ใช้เกลือเม็ดทาหมักไว้เพื่อรอตากแห้ง หากสถานการณ์ไม่ดี แต่ละคนยังสามารถซ่อนมันเอาไว้กับตัวได้หลายชิ้น หากมีเหตุต้องหนีกระจัดกระจายกันไปก็จะได้ไม่หิวตายเสียก่อน!”
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ ก่อนออกเดินทาง ครอบครัวเขาได้ฆ่าหมูหนึ่งตัว เสียงหมูตัวนั้นร้องดังลั่นได้ยินไปทั่วหมู่บ้าน นอกจากนี้ เกวียนที่เทียมวัวควายสามตัวของครอบครัวเขาก็ดูสะดุดตามาก เขาจึงกำชับลูกสะใภ้คนโตว่า “เจ้าผัดเสร็จแล้วก็ใส่หม้อไว้ นำไปให้ครอบครัวหลี่เจิ้งกับครอบครัวซ่งเสี่ยวซานก่อน ให้อาหารบ้านละสองหม้อ”
ซ่งเสี่ยวซานก็คือซ่งฝูเซิง เกาถูฮู่แอบตั้งฉายาให้เขา
บุตรชายคนโตของเขาก็ไม่พอใจ “เตีย ท่านไม่ใจกว้างไปหน่อยหรือ”
เกาถูฮู่ยังไม่ทันได้พูดอะไร บุตรชายคนสองเกาเถี่ยโถวก็รีบพูดขึ้น
“พี่ใหญ่ เรามีเกลือเหลืออยู่ไม่มาก เราจะพอหมักหมูทั้งตัวได้อย่างไร หากไม่หมักไว้ อากาศแบบนี้จะสามารถเก็บเนื้อไว้ได้หรือไม่ ระหว่างทางมีหลี่เจิ้งอยู่ คนต่างถิ่นอย่างพวกเราจะได้ไม่ตกเป็นเป้าหมายของคนทั้งหมู่บ้าน พวกเขารู้ว่าครอบครัวเรามีอาหารและเนื้อสัตว์ หากมีใครทนความหิวโหยไม่ได้จนออกมาแย่งชิงอาหารเราล่ะ”
เกาเถี่ยจ้วงหัวเราะออกมา “พวกมันกล้า? พวกเราจะจัดการพวกมันให้ตาย!”
“กล้าไม่กล้า อย่างน้อยก็ลดปัญหาไปได้บ้าง บ้านอาสามนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เขากลับหมู่บ้าน มาถึงก็ส่งข่าวให้พวกเราทันที อุตส่าห์มาบอกพวกเราเป็นบ้านแรก ก็เหมือนกับช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้”
บุตรชายคนโตของตระกูลเกาก็นิ่งเงียบไม่พูดจา
เกาถูฮู่สูบไปป์จีนสองทีก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ลูกสอง เจ้าไปส่งของให้บ้านซ่ง ส่วนข้าจะไปสอบถามหลี่เจิ้งว่า จะต้องเดินทางจนถึงเช้าหรืออย่างไร? หลังจากฟ้าสางเล่า? เดินทางต่อไปหรือ? อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ควายเฒ่าก็เหนื่อยจนจะนอนฟุบแล้ว ”
ในขณะเดียวกัน ทางบ้านซ่งก็ต้มข้าวโพดจนสุกพอดี
พวกผู้ชายนั่งล้อมวงดื่มน้ำและกำลังปรึกษากันว่าจะทำอะไรต่อไป
หากตอนนี้เป็นช่วงฟ้าสว่างก็คงเดินทางลี้ภัยกันต่อ แต่ทว่าตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนเกือบจะตีสองแล้ว ทั้งคนและม้าต่างก็เหน็ดเหนื่อย
พวกผู้หญิง เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้วไม่ค่อยจะกังวลอะไรมากนัก ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่เป็นตัวถ่วงขบวนก็นับว่าดีมากแล้ว
โดยเฉพาะท่านย่าหม่า นางไม่กังวลใจอะไรเลย แถมยังมีกะจิตกะใจแบ่งอาหารการกิน
ใช่เลย ไม่ผิด มันคือการแบ่งอาหาร โดยแบ่งออกเป็นหกระดับ ซึ่งนางดูมีความภาคภูมิใจกับงานนี้เป็นอย่างมาก
ท่านย่าหม่าหักข้าวโพดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ต้ายา เอ้อร์ยา เถาฮวาคนละอัน
ส่วนซ่งฝูหลิง ซ่งจินเป่า เฉียนหมี่โซ่ว ได้รับอาหารแห้งขนาดเท่ากำปั้นคนละหนึ่งส่วน ไม่ได้ให้เป็นข้าวโพดต้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...