ตอนที่ 97
ทั้งสามคนแอบดื่มโคล่า พวกเขาจึงอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
น้ำตาลเป็นเหมือนยาระงับประสาทเลย
ซ่งฝูเซิงที่มีทรงผมมัดกลมๆ เป็นทรงโดนัท รองเท้าฟางของเขาฉีกขาดจนเห็นนิ้วหัวแม่เท้าโผล่ออกมา รองเท้าเต็มไปด้วยโคลนสีดำ เขาสะพายเป้ขนาดใหญ่ เดินนำหน้าไปก่อน
ซ่งฝูหลิงเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด นางคล้องแขนเฉียนเพ่ยอิงที่มีทรงผมบิดเบี้ยว สองแม่ลูกเดินไปก็พูดคุยกันไป ซ่งฝูหลิงถ่ายทอดประสบการณ์การนั่งรถให้กับแม่ของนาง
ซ่งฝูเซิงเดินอยู่ข้างหน้าพลันก็ร้องเพลงขึ้นมา
“เจ้าแบกรับภาระไว้ ข้าจูงม้าไป ต้อนรับยามดวงตะวันขึ้น และส่งยามดวงตะวันตกดิน…
…ถนนหนทางอันยากลำบาก เพื่อบรรลุธรรม ต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง”
เมื่อร้องเพลงมาถึงท่อนนี้ ซ่งฝูเซิงก็หันมามองลูกสาว
ซ่งฝูหลิงมักจะคอยสนับสนุนพ่อของนางเสมอ นางหยุดคุยกับแม่ของนางทันที แต่กลับร้องเพลงประสานเสียงไปพร้อมกับพ่อของนางแทน
“และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ลั้ลลา…ผ่านไปสี่ฤดู มีเหตุกการณ์ทั้งทุกข์และสุข อยากสอบถามว่าถนนหนทางอยู่แห่งหนใด เส้นทางใต้ฝ่าเท้า”
เฉียนเพ่ยอิงปัดมือลูกสาวที่ทำท่าทางถือไมโครโฟน นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองพ่อลูกช่างอารมณ์ดีเสียจริง ยังจะร้องเพลงออกมาได้อีกหรือ”
ซ่งฝูหลิงเป็นคนใจใหญ่ ส่วนนิสัยร่าเริงได้มาจากใครนั้น นั่นคงไม่สามารถล่วงรู้ได้
แต่เนื้อเพลงนี้เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ ร้องออกมาได้เข้ากับสภาพของพวกเขาในปัจจุบันมาก ลืมตาก็เดินต่อไป ยามค่ำก็หยุดลง มิน่าซ่งฝูเซิงถึงมีอารมณ์ร่วมด้วย
ลองคิดดูสิ นี่คือเรื่องจรองไม่ใช่หรือ พอถึงวันใหม่ก็ต้องเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
หนิวจั่งกุ้ยตวัดแส้เคลื่อนรถลาก “ไป!”
ท่านย่าหม่าเดินตามอยู่ข้างเกวียนคันแรก ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่บนรถ
ทำไมนางถึงมีชีวิตที่ดีอย่างนี้น่ะ นางใช้คำพูดเพียงสองประโยคก็สามารถมัดใจท่านย่าได้ นางจะไม่นั่งบนรถ ท่านย่าก็ไม่ยอม
ประโยคแรกตอนกลับมาที่ขบวน ซ่งฝูหลิงรีบดึงท่านย่าหม่ามาคุย
“ท่านย่า ท่านเดาสิว่าเมื่อครู่พ่อกับแม่ของข้าเรียกข้าไปทำอะไร?…
…พ่อแม่ของข้าเรียกไปกำชับว่าให้ข้าดื่มน้ำน้อยๆ หน่อยเพราะน้ำมีไม่พอ ต้องเข้าใจ…
…แม่ของข้ายังบอกอีกว่า ท่านย่าอายุมากแล้ว ไม่ควรให้ท่านขาดน้ำ นางไม่ให้ข้าทำตัวเหมือนควาย ที่วันหนึ่งต้องดื่มน้ำสองกระบอก…
…ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้ข้าจะพยายามไม่ดื่มน้ำ ท่านย่า ท่านสบายใจได้ ข้าจะประหยัดส่วนของข้าไว้ให้กับท่าน”
ท่านย่าหม่าอ้าปากค้าง นางนิ่งอึ้งไปสิบวินาทีก่อนจะถอนหายใจ “พวกเจ้ายังเป็นเด็ก ร่างกายยังไม่เติบโตสมบูรณ์ ยังไม่แข็งแรงมากพอ หากคอแห้งก็ดื่มน้ำไปเถอะ ย่ารู้ตัวดี”
หลังจากที่ขบวนกำลังออกเดินทาง ท่านย่าหม่าก็ดันให้ซ่งฝูหลิงขึ้นรถไป ส่วนตนเองจะเดินก่อนสักพัก เพราะนางจำได้ว่าตอนที่หลานสาวคนเล็กกับนางแอบกินไข่นั้น นางให้หลานสาวนั่งลง อย่ายืนตรงนั้นเพราะเป็นที่สังเกตง่าย หลานสาวก็บอกว่านางปวดขา นั่งลงไม่ได้
ตอนนี้ซ่งฝูหลิงกลับไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย นางปีนขึ้นไปบนรถแล้ว
แต่เมื่อนางขึ้นรถก็พูดอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา “ท่านย่า ท่านรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่ปฏิเสธเลย?”
“เพราะอะไร”
“เพราะตอนนี้อากาศยังเย็นสดชื่น ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ท่านทนเดินไปสักพักหนึ่ง รอพระอาทิตย์ขึ้นมาจนทำให้อากาศร้อน ก็คงเป็นเวลาพอดีกับที่ข้าต้องลงไปเดิน ท่านก็จะได้ขึ้นมาพักผ่อนไง ข้ากลัวว่าถ้าอากาศร้อนขึ้นมา ท่านย่าจะทนไม่ไหวนะสิ”
โอ้ หลานสาวคนเล็กที่น่ารักของนาง นางช่วยลูกชายหลายคนคอยดูแลหลานๆ แต่ไม่มีหลานสักคนที่เหมือนกับพั่งยา ที่คอยเป็นห่วงเป็นใย
ตอนเด็กๆ พั่งยาเรียบร้อยมาก สองปีมานี้ไม่ค่อยได้พบหน้ากัน เมื่อเจอหน้าหลานสาวทีไรก็รู้สึกว่านางช่างเฉลียวฉลาด ไม่ว่จะพูดอะไรก็น่าฟัง อีกทั้งหลานสาวยังชอบมาคุยกับนางทั้งที่นางก็มีอายุมากแล้ว ชอบมาขลุกอยู่กับนาง ช่างเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ดังนั้น คำพูดของซ่งฝูหลิงสองประโยคนี้ จึงทำให้ท่านย่าหม่ายอมเดินเท้ามากกว่าเมื่อวานถึงครึ่งชั่วยาม
ส่วนเฉียนเพ่ยอิง ไปนั่งอยู่บนเกวียนคันสุดท้ายที่บรรทุกอาหาร
ตอนที่เฉียนเพ่ยอิงขึ้นไปบนรถ ไม่มีเหตุการณ์ดังเช่นตอนที่ท่านย่าหม่าดันซ่งฝูหลิงขึ้นรถครั้งก่อน
นางต้องทำคอแข็ง เผชิญกับสายตาอิจฉาริษยาของพี่สะใภ้รองขณะที่นางอุ้มหมี่โซ่วปีนขึ้นไปบนรถ
นางพึมพำคำสอนที่ลูกสาวแอบสอนนางอยู่ในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...