กว่าหานเหมิงจะได้สติกลับมา เสี่ยวเวยเวยก็เดินผ่านเธอไปแล้ว
เธอรีบหมุนรถเข็นและอยากจะตามเขาไป แต่เนื่องจากขาและเท้าของเธอไม่สะดวก เธอจึงทำได้แค่มองดูชายร่างเล็กเดินจากไปอย่างไร้ร่องรอย
ใบหน้าของหานเหมิงมืดลง เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที และกดหมายเลข “มานี่เดี๋ยวนี้ ช่วยฉันสืบหาเด็กคนหนึ่งหน่อย...”
เมื่อคนที่หานเหมิงเรียกมาถึงที่คลินิก ฉินซูและเวินหลีได้พาเสี่ยวเวยเวยกลับไปแล้ว ดังนั้นตอนที่พวกเขาค้นหาไปทั่วคลินิกจึงไม่พบร่องรอยของเขาเลย
ไปสอบถามที่แผนกต้อนรับ แต่เนื่องจากจางอี้เฟยเป็นคนพาเสี่ยวเวยเวยมาเอง และมีสถานะพิเศษเขาจึงไม่ได้ลงทะเบียน
หานเหมิงขมวดคิ้วเมื่อเธอได้รับรายงานจากลูกน้อง
เด็กคนนั้นดูเหมือนฉู่หลินเฉินมาก!
สรุปใช่ไหมนะ...
หานเหมิงอดไม่ได้ที่จะคิด
หลังจากนั้นไม่นาน ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรออก ดวงตาของเธอก็สว่างขึ้น จากนั้นรีบออกคำสั่ง
“จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบร่องรอยของฉินซู ให้รายงานทันที”
“ฉินซู? คุณเจอเธอแล้วเหรอ?” หานโม่หยางซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอบังเอิญเห็นเนื้อหาในโทรศัพท์และถามอย่างสงสัย
หานเหมิงเหลือบมองเขาและไม่ได้อธิบายอะไร
เธอวางโทรศัพท์ลงอย่างไม่เร่งรีบ แล้วหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ จากนั้นถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรหลังการรักษา?”
“ไม่แย่”
“ดีแล้ว คราวหลังก็ไปรักษาที่นั่นกันต่อเถอะ” หานเหมิงพูดเบา ๆ
หานโม่หยางตอบอืมเบา ๆ เขาสนใจเรื่องข้อความที่เธอเพิ่งส่งไปมากกว่า และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ฉินซูหายไปสามปีแล้ว ทำไมคุณถึงตามหาเธออีก?”
หานเหมิงเอียงคอมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย “เธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”
หานโม่หยางยิ่งทำหน้าสงสัยมากขึ้น “แล้วคุณตั้งใจจะทำอะไร?”
หานเหมิงยิ้มและจับมือของเขา “คุณไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก ตอนนี้คุณเป็นผู้นำของตระกูลหานแล้ว และยังมีสิ่งสำคัญอีกมากมายที่คุณต้องทำ อย่าทำให้ตัวเองลำบากเกินไปเลยนะคะ ฉันเป็นห่วงคุณ”
คำพูดหวาน ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับหานโม่หยางได้เลย ยิ่งกว่านั้นเขายังทำท่าทีรังเกียจผ่านสายตาของเขาอีกด้วย
หากเขาเพิ่งพบกับหานเหมิงในตอนนั้น เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายและอ่อนโยน แต่หลังจากแต่งงานได้สามปี เขาก็ตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเพียงใด
ว่าด้วยเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ฉู่หลินเฉินโค่นล้มหานเทียน หานเหมิงในฐานะลูกสาวไม่เพียงไม่สนับสนุนพ่อตัวเอง แต่เธอกลับนิ่งดูดาย เฝ้าสังเกตสองฝ่ายสู้กัน
ทันทีที่หานเทียนล้ม เธอก็สนับสนุนหานโม่หยาเพื่อเข้ารับตำแหน่งงอย่างเต็มที่ และกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูลหาน
ทว่าคุณนายหานที่ขาพิการอย่างเธอได้แสดงท่าทีอ่อนแอและไร้เดียงสาต่อโลกภายนอก ราวกับว่าอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของหานโม่หยาง
ในความเป็นจริง ระหว่างสองสามีภรรยานั้น คนที่ได้เป็นผู้นำที่แท้จริงคือหานเหมิง ทุกการตัดสินใจที่หานโม่หยางทำเพื่อตระกูลหานล้วนมีเงาของหานเหมิง
ไม่ใช่ว่าหานโม่หยางไม่เคยคิดที่จะกำจัดผู้หญิงพิการคนนี้ และยึดอำนาจไว้ในมือของเขาอย่างแท้จริง
แต่เขาทำไม่ได้
หานเหมิงอาจตลบหลังเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีอำนาจมากแค่ไหนในความมืด
ในขณะนี้ เมื่อมองดูรอยยิ้มที่อ่อนโยนและไม่เป็นอันตรายบนใบหน้าของหานเหมิงแล้ว หานโม่หยางก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ
เขาดึงมือออกอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก คุณไม่จำเป็นต้องเล่นละครกับผม ผมจะไม่ถามเรื่องนี้อีก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหานเหมิงลึกซึ้งขึ้น และเห็นได้ชัดว่าเธอพอใจมาก เธอพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รักษาตัวดี ๆ ล่ะ ฉันหวังว่าคุณจะหายเร็ว ๆ”
หลายวันมานี้ หานโม่หยางเข้ามารับการรักษาที่คลินิกอี้เฟยอย่างต่อเนื่อง
เขาสลบทุกครั้งที่ได้รับการรักษา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเมื่อจางอี้เฟยฝังเข็มให้เขา ฉินซูก็เฝ้าดูและให้คำแนะนำอยู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของเขา และอาการของเขาก็ดีขึ้นทุกวัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วุ่นรักวิวาห์ลวง