เหล่าขุนนางที่มีความคิดเหมือนกันต่างสบตาซึ่งกันและกัน รอยยิ้มเป็นมิตรอย่างสุดซึ้งปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
“คารวะแม่ทัพใหญ่ซู คารวะจวิ้นจู่......”
ฉู่เชียนหลีและซูจิ่นจือยืนอยู่ที่ข้างซ้ายและขวาของซุยี่ พยักหน้าให้กับทุกคนเป็นการเคารพกลับ
ซูยี่เอ่ยขึ้น: “ใต้เท้าทุกท่านไม่ต้องมากพิธี”
“สีหน้าของใต้เท้าซูช่างดีจริง ๆ ดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว ใบหน้าสดใสเหมือนดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ......”
“จิตใจของใต้เท้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน และก็เพราะรัศมีแห่งความองอาจกล้าหาญที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของใต้เท้า ถึงได้ทำให้ชุดสีน้ำเงินที่ใต้เท้าสวมใส่น่าเกรงขามเช่นนี้”
“ใต้เท้า......”
สามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงส่งในราชสำนักได้ไม่มีผู้ใดที่โง่เขลา ดูตระกูลอู๋ องค์ชายสาม หรือตระกูลฉู่สิ ผู้ใดที่เป็นปรปักษ์กับคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ครบทั้งชิ้น ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ยกย่อง เยินยอก็ถูกต้องแล้ว
พูดดีแค่เปลืองน้ำลายเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากไม่พูดอาจเปลืองศีรษะก็เป็นได้
มองดูเหล่าขุนนางบุ๋นที่เริ่มแข่งถ้อยคำสำนวนกัน ขุนนางบู๊ต่างก็ขมวดคิ้วแน่น
แค่พวกเจ้าเหล่าขุนนางบุ๋นที่มีปากหรืออย่างไร?
“แม่ทัพใหญ่ ได้ยินว่าท่านเริ่มรับสมัครทหารเข้าจวน ข้าน้อยมีลูกชายไม่เอาไหนอยู่ผู้หนึ่ง สูงและกำยำยิ่งกว่าหมี ช่วยตัวเฝ้าจวนได้ไม่มีปัญหา พวกนี้ข้าส่งมาให้ท่านดีหรือไม่?”
เหล่าขุนนางบุ๋นเบิกตาโต คว้านมองไปยังพวกขุนนางบู๊: “พวกเราพูดจาประจบสอพลอ พวกเจ้ากลับมอบลูกชายให้ ช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก!
ขุนนางบุ๋นบู๊ต่อสู้กันไปมาด้วยคำพูด ที่โถงด้านหน้าคึกคักเป็นพิเศษ
ฉู่เชียนหลียืนอยู่ข้างกายซูจิ่นจือ และกวาดสายตามองอยู่รอบหนึ่งด้วยความสงสัย: “ท่านผู้พี่ วันนี้ท่านชายเซียวไม่มาหรือ?”
“เขาน่าจะมาถึงตั้งนานแล้วถึงจะถูก ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะรีบมาช่วยข้าก่อนอยู่เลย?” ซูจิ่นจือเองก็สงสัยเหมือนกัน ปกติแล้วเมื่อเซียวจวินยี่เห็นความคึกคักครื้นเครง ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที
“บางทีอาจมีเรื่องอันใดทำให้ต้องล่าช้า อีกเดี๋ยวค่อยให้คนไปลองถามดู”
“อืม”
บนที่นั่งหลัก ซูยี่กำลังฟังอยู่ด้วยรอยยิ้ม จู่ ๆ สายตาก็จับจ้องมองตรง
บริเวณหน้าประตู บุรุษในชุดธรรมดาทั่วไปสามคนได้เดินเข้าประตูมาอย่างช้า ๆ
พวกเขาสวมใส่อย่างเรียบง่าย มีบางคนที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า บางคนหลังโก่ง ร่างกายคดโค้ง......
ซูยี่แทบอดไม่ได้ที่จะลุกยืนขึ้นมา ยังดีที่ฉู่เชียนหลีตอบสนองอย่างรวดเร็ว และได้เดินเข้าไปตักเตือน: “ท่านลุง”
ซูยี่ได้สติกลับมาทันที เขาจับที่วางมือบนเก้าอี้เอาไว้แน่น ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ข้าน้อยโจวเหลียว หลิวเฟย หลี่เฉวียนคารวะท่านแม่ทัพใหญ่!”
บุรุษทั้งสามทำความเคารพพร้อมกัน ร่างกายของพวกเขาไม่เหมือนกัน ความสูงต่ำแตกต่างกันไป แต่การเคลื่อนไหวกลับพร้อมเพรียง เหมือนได้สลักออกมาจากแม่แบบเดียวกัน เสียงดังเป็นพิเศษ ในตอนที่พูดมาถึงคำว่าท่านแม่ทัพใหญ่นั้น ก็ได้แฝงไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ซูอี้ตาสั่นเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นมาอย่างรีบร้อน: “รีบลุกขึ้น หลายปีมานี้พวกเจ้าไปที่ไหนกัน? ข้าให้จิ่นจือตามหาพวกเจ้าอยู่แสนนาน แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอันใดเลย"
ตระกูลซูล้มลง ลูกน้องคนสนิทของเขาต่างก็ถูกขับไล่ออกจากราชสำนักและกองทัพ หลังจากที่ขาของเขาพิการ ได้สลบไปช่วงหนึ่ง เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้สูญเสียข่าวคราวของลูกน้องคนสนิทเหล่านี้ไปเสียแล้ว”
ไม่รู้มีผู้คนมากมายแค่ไหนที่บอกว่า ตระกูลซูเป็นเหมือนกับต้นไม้ล้มฝูงลิงต่างก็แตกหนี แม้แต่ลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจก็ไม่คิดไปมาหาสู่ แต่เขาไม่เชื่อ เขาเชื่อในทหารของเขา พวกเขาเผชิญหน้ากับความเป็นตายไปพร้อมกับเขาอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ใช่คนที่โหดร้ายใจดำไร้ซึ่งคุณธรรมอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ท่านแม่ทัพ หลายปีมานี้พวกเราขึ้นเหนือร่องใต้ มีประสบการณ์ไม่น้อยเลย เล่าอยู่สามวันสามคืนก็ไม่จบ!” หลี่เฉวียนชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนกับระฆัง กล่าวไปหัวเราะไป ที่หางตากลับห้อยไว้ด้วยหยดน้ำตา
“ข้าว่าแล้วว่า ท่านแม่ทัพจะต้องดีขึ้นมาแน่ เจ้าโง่อย่างพวกเจ้ากลับไม่เชื่อข้า หลิวเฟยชายร่างผอมหลังโก่งพยายามยืดตัวตรง และยิ้มอย่างสดใสเช่นเดียวกัน
ส่วนหลี่เฉวียนนั้นดูอายุน้อยกว่า มีท่าทางไม่สบายใจที่สุด หลังจากที่เอ่ยขึ้น ดวงตาก็แฝงไปด้วยความวาดหวัง เหมือนกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี
ไม่อัฟแล้วหรือคะ...
เรื่องนี้สนุกมากขอทางทีมงานอัพเดทต่อด้วยนะคะ😭...
อยากให้อัพเดทเรื่องนี้ต่อไปนะคะ😭...
เรื่องนี้สนุกมากไม่ลงตอนใหม่แล้วหรอค่ะ...
ขอร้องลงตอนใหม่ด้วยนะคะ😭...
เรื่องนี้ไม่ลงต่อแล้วหรอค่ะ...
เรื่องนี้ไม่อัพเดทแล้วหรอค่ะ...