เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง นิยาย บท 13

ตำหนักหย่งโซ่ว

เมื่อครึ่งเดือนก่อน ไทเฮาจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหันและตกอยู่ในอาการขั้นร้ายแรง

เมื่อฮองเฮาพาคนมาที่ตำหนักหย่งโซ่ว แม่นมยวี่ที่อยู่เคียงข้างไทเฮาก็ระมัดระวังมากขึ้น

เมื่อนางรู้ว่า จั๋วซือหรานมาที่นี่เพื่อวินิจฉัยและรักษาไทเฮา ดวงตาของแม่นมยวี่เป็นประกาย แต่ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว

ฮองเฮาจะใจดีขนาดนี้ได้อย่างไร

นางยังเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูจั๋วจิ่วมาก่อน คนเล่ากันว่า คุณหนูจั๋วจิ่วมีความอัจฉริยะ แต่น่าเสียดายที่คุณหนูจั๋วจิ่วเป็นคนของตระกูลจั๋ว มีใครหรือที่มิทราบว่า แท้จริงแล้วตระกูลเหยียนเป็นหมอเทวดาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือ ตระกูลจั๋วไม่เคยมีใครรับตำแหน่งเป็นคุณหมออย่างจริงจังเลย

เหยียนชาง ผู้เป็นหัวหน้าของห้องหมอหลวงยืนอยู่ข้าง ๆ "จั๋วจิ่ว เจ้าพูดเบาเลยนะ เจ้ามีวิชาหมอด้วยหรือ"

เขาเชื่อจั๋วจิ่วไม่มีปัญญารักษาไทเฮาได้ และเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเมื่อไม่นานมานี้ เหยียนชางดูถูกจั๋วซือหรานอย่างมาก

จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ข้าพอรู้มานิดหน่อย ขอแสดงฝีมืออันน่าอับอายเสียหน่อย"

นางยกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นมือออก มือของนางขาวราวหยก นิ้วของนางอยู่ห่างจากผิวหนังข้อมือของไทเฮาประมาณหนึ่งนิ้ว นางหยุดนิ่ง

ทันทีที่การเคลื่อนไหวหยุดลง สีหน้าของเหยียนชางก็เปลี่ยนไปทันที

แม้แต่เหยียนฉีที่เพิ่งเข้ามา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "นางทำได้อย่างไร..."

มีคนตกใจและพูด "นั่นเป็นวิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนังมิใช่หรือ"

วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนังเป็นวิธีการวินิจฉัยชีพจรของบรรพบุรุษของตระกูลเหยียน และผู้ที่ได้รับการยกย่องจากตระกูลเท่านั้นถึงมีโอกาสเรียนวิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนัง

แต่นางเป็นลูกสาวของตระกูลจั๋ว นางเป็นได้อย่างไร

ร่องรอยของความตื่นตระหนกแวบขึ้นมาในดวงตาของเหยียนชาง จั๋วจิ่วมีทักษะความสามารถหมอจริงหรอกนะ

ใบหน้าที่สง่างามของฮองเฮาก็มีสีหน้าแข็งทื่อเช่นกัน ฮองเฮาคิดในใจ แย่แล้ว หากนางรักษาหญิงชราคนนี้ได้จริง ๆ...

จั๋วซือหรานสังเกตแววตาที่แม่นมยวี่มองฮองเฮา นางสังเกตถึงสีหน้าอันแข็งทื่อของฮองเฮาในขณะนี้ด้วย

ดูท่าที ความเจ็บป่วยของไทเฮาอาจมีบางสิ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง

เวลาผ่านไปไม่มาก จั๋วซือหรานก็หยุดนิ้วของนาง ซึ่งแตกต่างไปจากที่นางคาดไว้อย่างสิ้นเชิง ไทเฮาไม่ได้ป่วย แต่ไทเฮาถูกยาพิษเรื้อรัง ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงสลบมิได้สติจนถึงตอนนี้ หากมิได้รับการรักษาอีก อวัยวะภายในคงเสียหมด จนกระทั่งเสียชีวิตแน่ ๆ

เมื่อแม่นมยวี่เห็นนางหยุด แม่นมยวี่รีบถาม "คุณจั๋วจิ่ว เป็นอย่างไรบ้าง ช่วยรักษาอาการป่วยของท่านได้หรือไม่"

จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และตอบ "ข้าทำได้"

เมื่อจั๋วหรูซินเห็นจั๋วซือหรานใช้วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนัง นางตื่นตระหนกอย่างมาก เวลานี้ นางรีบพูด "หมอหลวงในวังยังรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮามิได้เลย เจ้าไม่เคยเรียนทักษะสำหรับทางการรักษาใด ๆ วันนี้เจ้าจะรักษาได้อย่างไร อย่าอวดอีกเลย อาการของไทเฮาให้เจ้าเสียเวลามิได้”

เหยียนชางยิ้มอย่างแข็งขัน "ใช่สิ คุณหนูจิ่วโปรดอย่าทำให้อาการของไทเฮาเลวร้ายไปกว่านี้"

ฮองเฮาค่อนข้างสงบอารมณ์ได้ "เอาล่ะ แม่นางจั๋วจิ่ว เจ้าแค่อยากได้พระราชโองการการหมั้นระหว่างเจ้าและท่านอ๋องเฟิงไม่ใช่หรือ ข้าจะเสนอเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท อย่าเอาอาการของไทเฮามาเล่นหรอกน่ะ"

เฟิงเหยียนยืนอยู่ด้านหลังสุด เขามองคนหน้าซื่อใจคดเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฮองเฮา มุมปากของเขาก็โค้งงอแหลมคม และสีหน้าของเขาก็เย็นชาทันที

เดิมทีเขาไม่สนใจความลับของการสมรู้ร่วมคิดของราชวงศ์เหล่านี้ แต่หากฮองเฮากล้าใช้เรื่องส่วนตัวของเขาเป็นเครื่องต่อรอง ก็อย่าตำหนิเขาหาเรื่องละกัน

ขณะที่เฟิงเหยียนกำลังจะพูด เขาก็เห็นหญิงสาวสวยที่สวมชุดขาวยิ้มหวาน แววตาของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความเย่อหยิ่ง ราวกับว่านางไม่สนใจคำพูดของคนข้างกายของนางเลย

จั๋วซือหรานรู้ดี นางอาจเข้าไปพัวพันกับเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางต้องยอมรับว่านางไม่เก่งด้านการแพทย์

จั๋วซือหรานพูด "พวกท่านไม่จำเป็นต้องรีบหาข้ออ้างให้ข้า หากข้ารักษาไทเฮามิได้ ข้าจะยอมรับการลงโทษโดยสมัครใจ แส้หนามของตระกูลจั๋วยังไม่สารมาถทำให้กระดูกสันหลังของข้าหัก จะมีกลอุบายใหม่อะไรล่ะที่สามารถหักกระดูกสันหลังของข้าได้"

ขณะที่นางพูด ไม่มีใครสังเกตเข็มทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือของนางได้เมื่อไร

จั๋วซือหรานเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะนางนึกว่าแหวนเสวียนเหยียนนหายไปแล้ว แต่แหวนเสวียนเหยียนปรากฏขึ้นในมือของนางอย่างกะทันหัน จากนั้น นางแอบสั่งในใจและหยิบเข็มทองออกมา

ไม่มีใครมีเวลาสังเกตแหวนสีแดงเข้มบนนิ้วชี้ของนาง

“ไทเฮาถูก...ถูกวางยาพิษ...”

ไม่รู้ใครเป็นคนพูดประโยคนี้

ราวกับว่าชี้ให้เห็นสิ่งที่ไม่ควร ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบ

ฮองเฮาเดินไปที่เตียง เวลานี้นางมีสีหน้าซีดเซียว นางกล่าว“ในที่สุดเสด็จแม่ฟื้นแล้ว หม่อมฉันจะให้คนไปแจ้งฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ หากท่านได้ข่าว ต้องดีใจอย่างยิ่ง”

ดวงตาของไทเฮายังมึนงงเล็กน้อย แต่นางก็ฟื้นคืนความสงบอย่างรวดเร็ว นางเหลือบมองไปผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในตำหนักของนาง

จากนั้นนางถามแม่นมยวี่ด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว”

แม่นมยวี่ร้องไห้ "ไทเฮา ท่านสลบมาครึ่งเดือนแล้ว หมอหลวงในวังจนปัญญารักษา หากไม่ใช่เป็นเพราะแม่นางจิ่วของตระกูลจั๋วมีพรสวรรค์ขั้นเทพ คงจะแย่"

ดวงตาของไทเฮาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่ในที่สุดนางสงบอารมณ์ลง

เมื่อมองไปที่จั๋วซือหราน ดวงตาของนางก็อ่อนโยนมาก "เจ้าช่วยข้าไว้หรือ"

“หม่อมฉันเพียงฝังเข็มเท่านั้น ที่จริงเพราะท่านมีบุญวาสนาล้นฟ้า” จั๋วซือหรานกล่าว

แม่นมยวี่เช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า "ไทเฮา แม่นางจั๋วจิ่วได้ขอฮองเฮาประทานพระราชโองการการหมั้นเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการรักษาท่าน"

ไทเฮามองฮองเฮาโดยไม่ให้คนอื่นสังเกต “เหตุใดต้องรบกวนฮองเฮา ข้าประทานพระราชโองการกาสมรสแก่เจ้าเอง”

ไทเฮาเม้มริมฝีปากแล้วถามจั๋วซือหราน “เจ้าอยากแต่งงานกับผู้ใด”

ครึ่งเดือนที่แล้ว เมื่อไทเฮายังไม่หมดสติ นางได้ยินว่าจั๋วซือหรานเต็มใจที่จะต่อต้านครอบครัวเพื่อครองคู่กับบัณฑิต จากนั้นไทเฮาก็ตกอยู่ในอาการหมดสติ และไม่รู้เรื่องภายหลังของจั๋วซือหราน

ดังนั้นไทเฮาจึงคิดว่า "กับบัณฑิตผู้นั้นหรือ"

แม่นมยวี่รีบไปข้างหูของไทเฮาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ให้ไทเฮาฟัง ไทเฮารู้ทุกเหตุการณ์ "เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นวันนี้เจ้าและท่านอ๋องเฟิงต่างมาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอตัดสินใจว่า... "

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง