ราชวงศ์เทียนลิ่ง
ณ ศาลบรรพชนแห่งราชวงศ์
ภายในตำหนักหลวงอันทรงพลังเคร่งขรึม กลิ่นคาวเลือดค่อยๆ กระจายคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ
กรงเหล็กสีเงินตั้งตระหง่านกลางวิหาร และมีสตรีนางหนึ่งถูกขังอยู่ข้างใน
นางล้มกองกับพื้น ขดตัวเป็นก้อน ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย อาภรณ์สวยหรูดั่งคนในวังสวมใส่อาบย้อมไปด้วยคราบเลือด ชายกระโปรงว่างเปล่าอย่างน่าแปลกประหลาด…นางถูกตัดขาทั้งสองข้างทั้งเป็น!
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ซั่งกวนเยว่ เงยหน้าขึ้นไปเพราะทนดูไม่ได้
ใบหน้าที่คุ้นเคย มาปรากฏอยู่ในสายตา
นางสั่นไหวไปด้วยหัวใจแห่งความเคียดแค้น เพราะคนที่เข้ามายืนตรงหน้านางคือ เจียงอวี่เฉิง…คู่หมั้นของนางที่กำลังจะเข้าร่วมพิธีอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันในไม่ช้า!
“ซั่งกวนเยว่ พลังของเจ้าได้สลายไปแล้ว ความรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า”
ซั่งกวนเยว่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เจ้า…นี่เอง!”
เจียงอวี่เฉิงหัวเราะเบาๆ
“ตลอดสามปีที่ผ่านมา ตอนที่ข้าชงชาหิมะให้เจ้าทุกวัน ข้าแอบใส่ยาให้เจ้าดื่ม เป็นไงรสชาติดีหรือไม่”
ซั่วกวนเยว่อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างเศร้าโศก
เหอะ ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำใจของคนรัก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาต้องการเอาชีวิตนางตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว!
สีหน้าของนางค่อยๆ เย็นชา
“เจียงอวี่เฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสังหารองค์หญิง ต้องได้รับโทษอย่างไร!”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด จากนั้นก็มีเสียงสตรีอีกนางหนึ่งดังขึ้นในตำหนักหลวง
“เสด็จพี่ จนป่านนี้แล้ว ท่านยังคิดว่าตัวเองยังเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์อยู่อีกหรือ”
ซั่งกวนเยว่หันหน้าไปมองทันที แล้วก็เห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งเดินเยื้องกรายเข้ามา
นางคือ…ซั่งกวนหว่าน น้องสาวคนที่สามที่นางรักมากที่สุดหากแต่เป็นเมื่อครั้งเก่าก่อน
ใบหน้าอ่อนโยนที่มักขี้อายเสมอดั่งเมื่อก่อน แต่บัดนี้กลับดูสะใจเปิดเผยมิอาจปิดได้มิดเลยสักนิด!
“หนึ่งวัน หนึ่งคืน เลือดของเสด็จพี่ไหลจนจะหมดตัวอยู่แล้ว ยังจะมีใครที่สามารถมาช่วยเสด็จพี่ได้อีกเล่า เสด็จพ่อที่ป่วยหนักหรือทหารองครักษ์สิบสามนายของพี่ที่อยู่ชายแดนห่างไกลนั่นดีล่ะ”
หัวใจของซั่งกวนเยว่เย็นเฉียบราวกับธารน้ำแข็ง
“ที่เสด็จพ่อป่วยหนัก…เป็นฝีมือของเจ้าหรือ!”
เกรงว่าพวกเขาจงใจส่งองครักษ์สิบสามนายของนางให้ออกไปให้พ้นตา
ซั่งกวนหว่านกะพริบตา ตบหน้าอกเบาๆ แล้วหันไปมองเจียงอวี่เฉิงด้วยท่าทางหงุดหงิด
“เจียงเฉิง เสด็จพี่ดุจังเลย หว่านเอ๋อร์กลัว”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มและบีบเอวของนาง
“กลัวอะไร ตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับคนพิการ เพียงแค่ใช้โลหิตของนางหล่อเลี้ยงชีพจรเดิมของเจ้า วันข้างหน้าพรสวรรค์ของเจ้าก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะเป็นของเจ้าแล้วมิใช่หรือ”
ซั่งกวนหว่านมองนางด้วยความเกลียดแค้น
“เสด็จพี่ พี่เกิดมาก็มีชีพจรเทียนจิง ฟ้าลิขิตให้เป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดล้วนเป็นของเสด็จพี่! แต่…มีสิทธิ์อะไร! หรือว่าเพราะเสด็จแม่ของพี่คือฮองเฮา ส่วนเสด็จแม่ของข้าเป็นเพียงนางสนมใช่หรือไม่!”
นางไม่พอใจ ดังนั้นนางจึงต้องการแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของซั่งกวนเยว่!
“เสด็จพี่สบายได้ ต่อแต่นี้ไป ไม่ว่าจะเป็นชายคนที่พี่รักที่สุด หรือตำแหน่งของพี่ ข้าในฐานะน้องสาวจะช่วยพี่ดูแลให้เอง!”
ราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่อกของซั่งกวนเยว่ ร่างของนางแทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ!
คนที่นางไว้ใจมากที่สุดสองคน แต่กลับทรยศหักหลังนางทั้งหมด
ซั่งกวนหว่านชื่นชมสีหน้าเจ็บปวดของนาง แต่ดูเหมือนนางจะยังไม่สาแก่ใจ จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “จริงสิเสด็จพี่ เห็นแก่เสด็จพี่ดูแลน้องมาตั้งหลายปี น้องจะส่งเสด็จสู่สุคติแน่นอน หวังว่าพี่จะได้ไปอยู่กับเสด็จแม่และน้องชายอายุสั้นในเร็ววันนะเพคะ…”
ทุกถ้อยคำของนางดั่งสายฟ้าฟาดลงมาข้างหูของซั่งกวนเยว่!
หรือว่า ที่เสด็จแม่และน้องชายเยาว์วัยของนางสิ้นพระชนม์ที่ทะเลสาบน้ำแข็งจะไม่ใช่อุบัติเหตุ
“พี่ไม่รู้หรือ ว่าตอนที่น้องเจ็ดกำลังจะตาย ยังส่งเสียงร้องเรียกเสด็จพี่อยู่เลยล่ะ…”
“ซั่งกวนหว่าน!”
ซั่งกวนเยว่ตวาดลั่น
กล้าลงมือกับเสด็จพ่อ ทรยศนาง ตัดขาทั้งสองข้างของนาง ขังนางเอาไว้ที่แห่งนี้ ช่างเป็นความแค้นฝังลึกยิ่งนัก!
ยิ่งไปกว่านั้น นางคิดไม่ถึงเลยว่า มารดาที่นางเคารพและน้องชายที่นางรักที่สุดก็ตายอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา!
นัยน์ตาแดงก่ำของนางจ้องไปที่สองคนนั้นเขม็งราวกับผีร้ายที่มาจากขุมนรก วินาทีต่อมา เปลวเพลิงสีแดงบ้าคลั่งก็แผดเผา!
ซั่งกวนเยว่กระตุ้นชีพจรเทียนจิงในร่างกายให้เผาไหม้!
ทันใดนั้นลูกไฟขนาดใหญ่ราวกับเนตรมังกรก็ลอยออกไปแล้วทะลุผ่านตำแหน่งตันเถียน[1]ของซั่งกวนหว่าน
ซั่งกวนหว่านรู้สึกได้ทันทีว่าจุดชีพจรของตนเองกำลังถูกเผาไหม้ นางทั้งตื่นตกใจและกรีดร้องออกมา…
“ชีพจรของข้า!”
แม้เจียงอวี่เฉิงจะหลีกเลี่ยงอันตราย แต่แขนข้างขวาของเขากลับถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง
“หากชาติหน้ามีจริง…แค้นนี้…ต้องชำระ!”
ทุกถ้อยทุกคำของนางราวกับคำสาปแช่ง
โดยที่ไม่มีใครได้ทันมองเห็นว่า ทันใดนั้นได้มีอักขระแปลกประหลาดปรากฏขึ้นที่รอยเลือดบนโต๊ะตัวนั้น ก่อนที่มันจะเลือนหายวับไปกับตา
ราชวงศ์เทียนจิน ในปี 1653 องค์หญิงซั่งกวนเยว่สิ้นพระชนม์ เพราะธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างฝึกบำเพ็ญ
…
เจ็บ!
เจ็บไปถึงกระดูก!
ราวกับเลือดเนื้อถูกฉีกเป็นชิ้น เปลวไฟร้อนลวกกำลังแผดเผา!
ทันใดนั้นเสียงอันเลือนรางก็แว่วเข้ามาในหู
“แหะๆ พี่ใหญ่ แม้สาวน้อยผู้นี้จะผอมแห้งราวกับฟืน แต่ใบหน้ากลับสวยงามเยี่ยงนี้ เราฆ่านางให้ตายเสียดีกว่า คงขาดทุนเกินไปหน่อยหรือไม่”
“นั่นน่ะสิ! พี่ใหญ่ จะว่าไปนางก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ หากเล่นตุกติกขึ้นมา ต้องไม่เหมือนกันแน่นอน!”
“เหอะ คุณหนูใหญ่อะไรกัน! แม้กระทั่งชีพจรยังพิการไร้ประโยชน์ ขนาดทุกคนในตระกูลฉู่ยังมองว่านางเป็นจุดด่างพร้อยของตระกูลเลย!”
“พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรคุณหนูสามบอกเพียงแค่ว่าทำเยี่ยงไรก็ได้ให้นางหายไปตลอดกาลก็พอ หลังจากพวกเราทำงานเสร็จ เผานางเสียก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ ยังจะมีใครจากตระกูลฉู่ตามหานางพบได้อีก”
ไฟหรือ
ไฟ!
ซั่งกวนเยว่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่สมอง ทันใดนั้นนางก็เบิกตาโพลง
ภายใต้แสงแดดอันเจิดจ้า ใบหน้าของชายกักขฬะคนหนึ่งกำลังยื่นมือมาที่หน้าอกของนาง
“รนหาที่ตาย!”
ซั่งกวนเยว่ตวาดลั่น แต่ทันใดนั้นก็พบว่าน้ำเสียงของตนเองไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!
ลำคอแห้งผากราวกับกระหายน้ำมาเป็นเวลานาน แต่น้ำเสียงไม่ได้ย่ำแย่ น้ำเสียงเหมือนเด็กสาวอายุไม่เกินสิบสองสิบสามก็มิปาน!
แต่นางไม่มีเวลาคิดให้ละเอียดรอบคอบ นางก็จับหักข้อมือของชายผู้นั้นทันที ในขณะเดียวกันก็ยกเท้าถีบออกไป
“อ๊ากก!”
เสียงร้องเจ็บปวดโหยหวนดังลั่นก้องป่า
ชายคนนั้นประมาทไปครู่หนึ่ง เมื่อถูกถีบจนถอยไปกะทันหัน และมือข้างนั้นของเขาก็มีลักษณะที่ผิดรูปแปลกไป…เพราะเขาถูกหักข้อมือ
“พี่ใหญ่!”
ชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังของเขาเกิดอาการตกตะลึงแล้วรีบไปประคองเขา เมื่อเห็นเขาบาดเจ็บต่างก็พากันตื่นตระหนก แล้วหันไปมองเด็กสาวผู้นั้น
เกิดอะไรขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนไร้ค่าของตระกูลฉู่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี นางไม่มีพลังต่อสู้เลยสักนิด มิฉะนั้นคงไม่โดนพวกเขาตีจนสลบและพาเข้ามาในป่าหมอกทึบอย่างง่ายดายเช่นนี้หรอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์