เยี่ยเหล่าเป็นหัวหน้าสำนักเทียนลู่จริงๆ หรือ!
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองด้วยความตกตะลึง
ชายชราคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาดๆ ดูซอมซ่อ….หากไม่ได้มาเห็นกับตา ใครจะเชื่อในตัวตนที่แท้จริงของเขากันเล่า!
ฉู่หลิวเยว่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เคยเจอกันหลายต่อหลายครั้ง เยี่ยเหล่าตามตื๊อขอไปดูนางหลอมยา นางก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
ไปๆ มาๆ คนที่มีอำนาจมากที่สุดในสำนักเทียนลู่ก็คือชายชราที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้
น้อยครั้งที่จะเห็นเยี่ยเหล่ามีท่าทางจริงจัง และเขาก็ยังขยับปลายนิ้วต่อไป
มีอีกหนึ่งชื่อปรากฏบนหน้ากระดาษบันทึก
“ฉู่หลิวเยว่!”
ฉู่หลิวเยว่พบว่าชื่อของตัวเองเป็นตัวอักษรสีแดงซึ่งเป็นสีเดียวกับบรรดาอาจารย์ในสำนักอย่างคาดไม่ถึง
จากนั้นก็มีลายลักษณ์อักษรตัวเล็กๆ ปรากฏที่ข้างล่างบรรทัดชื่อของนาง
“ผู้บำเพ็ญเพียรหมอเทวดา ปรมาจารย์ ผู้ฝึกยุทธ์!”
หากเป็นนักเรียนทั่วไปสามารถเลือกฝึกบำเพ็ญได้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น แต่ฉู่หลิวเยว่กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เยี่ยเหล่ารู้ว่าพรสวรรค์ของนางอาจแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด ดังนั้นเขาจึงเขียนถึงนางทั้งสามแขนงวิชาทีเดียวไปเลย
เช่นนี้อนาคตข้างหน้าจะได้สะดวกมากขึ้น
เมื่อเขาเขียนคำสุดท้ายเสร็จสิ้น ทันใดนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากชื่อของเยี่ยเหล่าแล้วเจาะเข้าไปในป้ายชื่อบนหน้าอกด้านซ้ายของฉู่หลิวเยว่ทันที
“บนป้ายชื่อของนักเรียนทุกคนจะมีพลังของอาจารย์ตนเองอยู่ ไม่เพียงแค่สามารถระบุตัวตนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นไพ่ตายในยามวิกฤตได้อีกด้วย”
เยี่ยเหล่าอธิบายพลางปล่อยมือ
หน้าบันทึกค่อยๆ ปิดเอง จากนั้นก็ส่งสมุดบันทึกรายชื่อกลับคืนอาจารย์ท่านนั้น
“เอาล่ะ! ข้าจดรายชื่อเจ้าลงบันทึกแล้ว ต่อไปนี้เจ้าก็คือลูกศิษย์เต็มตัวของเหวยซือแล้วล่ะนะ!”
เยี่นเหล่ามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
แม้ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่จะทำพิธียกน้ำชาให้เขาแล้ว แต่ถึงอย่างไรครั้งนั้นก็มีเพียงพวกเขาสองคนที่รับรู้เรื่องนี้
ตอนนี้ชื่อของพวกเขาทั้งสองถูกเขียนไว้ในบัญชีรายชื่อของสำนักเทียนลู่แล้ว เช่นนั้นจึงแตกต่างออกไป
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้รู้ทั่วกันว่าฉู่หลิวเยว่คือลูกศิษย์ของเขา!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหล่าก็รู้สึกชื่นใจ
เขาใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิต และหลายคนเกลี้ยกล่อมให้เขารับลูกศิษย์ แต่เขาปฏิเสธกลับไปทั้งหมดเพราะกลัวความวุ่นวาย
จนในที่สุดวันนี้เขาก็เจอคนที่ถูกชะตา ทั้งยังเป็นเด็กอัจฉริยะที่ร้อยปีจะเจอสักคน พอได้แสดงความสามารถทั้งทีก็ไม่มีผู้ใดเทียบติด!
ทำไมเขาจะไม่ดีใจล่ะ จริงไหม!
“ไปๆๆ ไม่เจอกันตั้งนาน เหวยซือมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเจ้า!
หลังจากเสร็จสิ้นธุระทางนี้ เยี่ยเหล่าก็พาฉู่หลิวเยว่ออกไปทันที ซุนจ้งเหยียนและคนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองตากันปริบๆ
บรรยากาศภายในสวนเถาหลี่เงียบสงบได้สักพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะมีเสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ดังขึ้น
“พวกเราแย่งกันแทบตาย สุดท้ายนางก็เป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
…
เดิมทีเยี่ยเหล่าอยากพาฉู่หลิวเยว่ไปอยู่ที่บ้านพักของตนเอง ทว่าฉับพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสำนักมานาน ที่ตรงนั้นของเขาน่าจะยังไม่ได้ทำความสะอาด สุดท้ายเขาก็เลยต้องตามฉู่หลิวเยว่กลับไป
โชคดีที่ในเวลานี้นักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักได้เริ่มชั้นเรียนหรือฝึกฝนแล้วจึงไม่พบใครเลยระหว่างทางกลับ
“หลิวเยว่เอ๋ย เจ้าอยากเข้าสำนักแล้วทำไมไม่บอกซือฝุเจ้าตั้งแต่แรกเล่า แล้วยังต้องมาสอบสามวิชาให้ยุ่งยากอีกทำไม ข้าได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนเจ้าเข้าร่วมสอบกลางภาคหรือ มีคนรังแกเจ้าหรือไม่ รีบบอกซือฝุมาเดี๋ยวนี้เลย ซือฝุจะช่วยเจ้าเอาคืนอย่างแน่นอน!”
คำพูดหลั่งไหลเป็นสายน้ำ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับค่อยๆ รินน้ำชาให้เขาอย่างใจเย็น
“ท่านค่อยๆ พูดก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอกเจ้าค่ะ”
เยี่ยเหล่าหยุดพักก่อนจะดื่มชาลงไป
จากนั้นฉู่หลิวเยว่จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ
เยี่ยเหล่าก็พอได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่พอมาได้ยินจากปากของฉู่หลิวเยว่ เขาถึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“…ที่แท้เวลาแค่ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ เจ้าเด็กนี่ ก่อนหน้านี้บอกแล้วใช่ไหม หากมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นให้รีบไปหาซือฝุ แต่ยามนี้ข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้ากลับช่วยเจ้าไม่ได้เลยสักอย่าง”
หัวใจของเยี่ยเหล่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ในสายตาของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง การที่นางเป็นประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลฉู่และองค์ชายรัชทายาทนั้นไม่รู้ว่าลำบากมากแค่ไหน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์