น้ำเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคยยิ่งนัก…
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดว่าเป็นใครก็เห็นว่าเงาร่างของคนผู้นั้นได้ถลามาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสซุนเสียแล้ว
ท่าทางเงอะๆ งะๆ ของเขาที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ ไม่ใช่เยี่ยเหล่าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
ทว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
คนที่ดูตกใจกว่าฉู่หลิวเยว่ก็คือซุนจ้งเหยียน
“อ่านอาจารย์ลุง ท่านมาได้อย่างไร!”
อาจารย์ลุง
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
นางคาดเดาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตัวตนของเยี่ยเหล่านั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงอาจารย์ลุงของผู้อาวุโสซุน!
รุ่นนี้สูงวัยเกินไปหรือไม่
เยี่ยเหล่าถอนหายใจใส่แล้วจ้องซุนจ้งเหยียนตาเขม็ง
เขามองจนซุนจ้งเหยียนรู้สึกหงอ
“…อาจารย์ลุง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
“เป็นอะไร! เจ้ากล้าถามข้าว่าเป็นอะไรรึ!” เยี่ยเหล่าพูดพลางมอบฝ่ามืออรหันต์ให้เขา “เจ้าเด็กเนรคุณ กล้าแย่งคนของอาจารย์ลุงอย่างนั้นหรือ บังอาจยิ่งนัก!”
ซุนจ้งเหยียนไม่กล้าสู้กลับและทำได้พัยงเอามือบังศีรษะหลบหนีเท่านั้น
“อาจารย์ลุง! ท่านลงมือกับข้าทำไม! ต่อให้ข้ากินดีหมีหัวใจเสือ ข้าก็ไม่กล้าแย่งคนของท่านหรอก!”
เมื่อเห็นซุนจ้งเหยียนซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในสำนักกำลังถูกไล่ทุบตี ฉู่หลิวเยว่จึงคลายความกดดันลงมาได้บ้าง
นางกระแอมไอแล้วหันไปมองทางอื่น
“ท่านอาจารย์ลุง หากท่านจะตีข้าท่านก็บอกข้าให้เข้าใจก่อนสิว่าตกลงข้าไปแย่งใครมาจากท่านกันแน่” ซุนจ้งเหยียนตะโกนด้วยความน้อยใจ
อาจารย์ลุงไม่เผยโฉมหน้ามาตั้งหลายปี ทำไมถึงมาตีเขาเพราะคนคนเดียว
ในที่สุดเยี่ยเหล่าก็หยุดมือแล้วพยักพเยิดชี้นิ้วไปที่ฉู่หลิวเยว่
“นาง!”
บรรยากาศในสวนเงียบไปชั่วขณะ
หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าพลังปราณลึกลับเหล่านั้นที่เคยถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้มีคลื่นแห่งความผันผวนเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกใจกับสิ่งที่เยี่ยเหล่าเอ่ยขึ้น
ซุนจ้งเหยียนตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เอ่อคือ…นี่…อาจารย์ลุง ท่านต้องการรับฉู่หลิวเยว่เป็นศิษย์หรือขอรับ แต่ว่า…ท่านเป็นหมอเทวดานี่นา!”
พรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ของฉู่หลิวเยว่นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนด้านการแพทย์ของหมอเทวดา ดูเหมือนจะยังไปไม่สุดทางน่ะสิ…
ซุนจ้งเหยียนเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วเอ่ยเตือนอย่างอดมิได้
“อาจารย์ลุง เป็นเพราะท่านได้ยินมาว่าฉู่หลิวเยว่สอบผ่านทั้งสามวิชาก็เลยต้องการรับนางเป็นศิษย์ใช่หรือไม่ ท่านอาจจะไม่ทราบว่าแม่หนูคนนี้มีพรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมากกว่าหมอเทวดาไม่รู้เท่าไหร่! อีกอย่าง ท่านก็ไม่อยากมีปัญหาเรื่องการรับศิษย์มานานแล้วมิใช่หรือขอรับ”
ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงไม่รับลูกศิษย์มาเป็นเวลาหลายปี
“หากท่านมีใจต้องการรับศิษย์ไว้สักคนจริงๆ นักเรียนในรุ่นนี้ก็มีพรสวรรค์ไม่เลวหลายคน…”
“พวกเจ้าจะไปรู้สิ่งใด!”
เยี่ยเหล่าตัดบทเขาด้วยความเหลืออด
“ลูกศิษย์ข้าเป็นอย่างไร ทำไม่ข้าจะไม่รู้!”
เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเหล่า เสียงของซุนจ้งเหยียนก็หยุดชะงักลงราวกับว่ามีใครมาบีบคอเอาไว้
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัดจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่แอบสูดหายใจเงียบๆ
ตอนแรกนางแค่อยากเลือกอาจารย์เงียบๆ อย่างถ่อมตน หลังจากนั้นจะเริ่มตั้งใจฝึกฝนในสำนัก แต่ตอนนี้สงสัยคงเป็นไปไม่ได้แล้ว…
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเยี่ยเหล่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักเทียนลู่ลึกซึ้งขนาดนี้ ทั้งยังมาในเวลานี้พอดีเสียด้วย
“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของข้าตั้งแต่แรกแล้ว! เจ้าคิดจะแย่งข้าไปหรือ ฝันไปเถอะ!”
เยี่ยเหล่ายังคงพะว้าพะวังและมองซุนจ้งเหยียนด้วยสายตาราวกับมองเขาเหมือนหัวขโมยอย่างไรอย่างนั้น
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
“หลิวเยว่ คนพวกนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เจ้าอย่าหลงกลพวกเขาเด็ดขาดเชียวนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ท่านพูดตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้จะดีหรือ…
เยี่ยเหล่ากล่าวพลางเผยสีหน้าน้อยใจ
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ มาที่สำนักก็ไม่บอกข้าสักคำ! หรือว่าเจ้าอยากจะหาคนอื่นมาเป็นอาจารย์ของเจ้าจริงๆ หรือ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
“ซือฝุ[1] ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า…”
“เหวยซือ[2] เก็บตัวบำเพ็ญเพียรแค่ไม่กี่วัน พอออกมาปุ๊บก็ไปหาเจ้าที่ตระกูลฉู่ปั๊บ แต่ใครจะไปรู้ข้าหาจนทั่วก็ไม่เจอใครสักคน! ข้าจึงไปถามคนแถวนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! หากข้าช้าไปก้าวเดียว เจ้าก็คงกลายไปเป็นลูกศิษย์ของไอ้เจ้าหมอนี่แล้วใช่ไหม!”
ซุนจ้งเหยียนที่โดนด่าก็ไม่รู้จะเสียใจหรืออธิบายอย่างไรแล้ว
บทสนทนาระหว่างเยี่ยเหล่าและฉู่หลิวเยว่มีเรื่องราวมากมายจนเขายังไม่ทันได้โต้ตอบ..
ฉู่หลิวเยว่กลั้นยิ้มและส่ายหน้า
“ในเมื่อข้ามีซือฝุแล้ว แน่นอนว่าข้าจะไม่คารวะฝากตัวกับอาจารย์ท่านอื่นอีกเจ้าค่ะ ศิษย์อยากฝึกค่ายกลกระบี่ด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ฝึกด้วยตนเองหรือ” เมื่อซุนจ้งเหยียนได้ยินก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ “แม่หนู เจ้าต้องคิดให้ดี หากไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ เส้นทางสู่การเป็นปรมาจารย์นี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ายืนกราน
“ขอบคุณผู้อาวุโสซุน ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซือฝุ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกกระมัง”
เยี่ยเหล่ากระอึกกระอัก
อันที่จริงเขาก็พอจะแอบเดาออกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์สอนปรมาจารย์จริงๆ ก็ได้ เช่นเดียวกับการทักษะด้านการแพทย์ที่ไม่อาจเดาขอบเขตได้ หรือแม้แต่กระทั่งนางอาจจะถึงระดับขั้นที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ได้
“เจ้าอยากจะทำสิ่งใด ซือฝุจะห้ามเจ้าได้อย่างไร เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ก็แล้วกัน!”
เยี่ยเหล่าโบกมือ
“เอาทะเบียนรายชื่อมา!”
ไม่นานก็มีคนเดินออกจากห้องและนำหนังสือหนาเล่มหนึ่งมา
บนหน้าปกบันทึกเล่มนั้นมีตัวอักษรปิดทองสี่ตัวเขียนอยู่
“สำนักเทียนลู่”
เยี่ยเหล่าเอามือวางบนบันทึกเล่มนั้น เมื่อเขาปล่อยมือหน้ากระดาษบันทึกก็ขยับพลิกหน้าได้ด้วยตัวมันเอง!
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างๆ จึงสามารถอ่านรายชื่อที่อยู่ในบันทึกได้ชัดเจน
ชื่อของนักเรียนทุกคนล้วนเป็นตัวอักษรสีดำ ส่วนรายชื่อของอาจารย์จะเป็นตัวอักษรสีแดง
เมื่อพลิกมาถึงหน้ากระดาษแผ่นใหม่ที่ว่างเปล่า ในที่สุดมันก็หยุดได้เอง
เยี่ยเหล่ามีสีหน้านิ่งขรึม เขาชี้นิ้วแล้วเขียนชื่อของเขาบนหน้ากระดาษขาวสะอาด
“เยี่ยจือถิง”
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองเป็นประกายระยิบระยับ
ชื่อของเขาเป็นตัวอักษรสีทอง!
ไม่นานนัก ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏขึ้นเองตรงบรรทัดใต้ชื่อของเยี่ยเหล่า
“หัวหน้าสำนักคนที่หกสิบห้าแห่งสำนักเทียนลู่”
[1] ซือฝุ สรรพนามที่ศิษย์เรียกอาจารย์
[2] เหวยซือ สรรพนามแทนตัวเองของอาจารย์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...