ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 101

น้ำเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคยยิ่งนัก…

ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดว่าเป็นใครก็เห็นว่าเงาร่างของคนผู้นั้นได้ถลามาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสซุนเสียแล้ว

ท่าทางเงอะๆ งะๆ ของเขาที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ ไม่ใช่เยี่ยเหล่าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก

ทว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

คนที่ดูตกใจกว่าฉู่หลิวเยว่ก็คือซุนจ้งเหยียน

“อ่านอาจารย์ลุง ท่านมาได้อย่างไร!”

อาจารย์ลุง

ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย

นางคาดเดาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตัวตนของเยี่ยเหล่านั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงอาจารย์ลุงของผู้อาวุโสซุน!

รุ่นนี้สูงวัยเกินไปหรือไม่

เยี่ยเหล่าถอนหายใจใส่แล้วจ้องซุนจ้งเหยียนตาเขม็ง

เขามองจนซุนจ้งเหยียนรู้สึกหงอ

“…อาจารย์ลุง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

“เป็นอะไร! เจ้ากล้าถามข้าว่าเป็นอะไรรึ!” เยี่ยเหล่าพูดพลางมอบฝ่ามืออรหันต์ให้เขา “เจ้าเด็กเนรคุณ กล้าแย่งคนของอาจารย์ลุงอย่างนั้นหรือ บังอาจยิ่งนัก!”

ซุนจ้งเหยียนไม่กล้าสู้กลับและทำได้พัยงเอามือบังศีรษะหลบหนีเท่านั้น

“อาจารย์ลุง! ท่านลงมือกับข้าทำไม! ต่อให้ข้ากินดีหมีหัวใจเสือ ข้าก็ไม่กล้าแย่งคนของท่านหรอก!”

เมื่อเห็นซุนจ้งเหยียนซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในสำนักกำลังถูกไล่ทุบตี ฉู่หลิวเยว่จึงคลายความกดดันลงมาได้บ้าง

นางกระแอมไอแล้วหันไปมองทางอื่น

“ท่านอาจารย์ลุง หากท่านจะตีข้าท่านก็บอกข้าให้เข้าใจก่อนสิว่าตกลงข้าไปแย่งใครมาจากท่านกันแน่” ซุนจ้งเหยียนตะโกนด้วยความน้อยใจ

อาจารย์ลุงไม่เผยโฉมหน้ามาตั้งหลายปี ทำไมถึงมาตีเขาเพราะคนคนเดียว

ในที่สุดเยี่ยเหล่าก็หยุดมือแล้วพยักพเยิดชี้นิ้วไปที่ฉู่หลิวเยว่

“นาง!”

บรรยากาศในสวนเงียบไปชั่วขณะ

หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าพลังปราณลึกลับเหล่านั้นที่เคยถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้มีคลื่นแห่งความผันผวนเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกใจกับสิ่งที่เยี่ยเหล่าเอ่ยขึ้น

ซุนจ้งเหยียนตกตะลึงไปชั่วขณะ

“เอ่อคือ…นี่…อาจารย์ลุง ท่านต้องการรับฉู่หลิวเยว่เป็นศิษย์หรือขอรับ แต่ว่า…ท่านเป็นหมอเทวดานี่นา!”

พรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ของฉู่หลิวเยว่นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนด้านการแพทย์ของหมอเทวดา ดูเหมือนจะยังไปไม่สุดทางน่ะสิ…

ซุนจ้งเหยียนเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วเอ่ยเตือนอย่างอดมิได้

“อาจารย์ลุง เป็นเพราะท่านได้ยินมาว่าฉู่หลิวเยว่สอบผ่านทั้งสามวิชาก็เลยต้องการรับนางเป็นศิษย์ใช่หรือไม่ ท่านอาจจะไม่ทราบว่าแม่หนูคนนี้มีพรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมากกว่าหมอเทวดาไม่รู้เท่าไหร่! อีกอย่าง ท่านก็ไม่อยากมีปัญหาเรื่องการรับศิษย์มานานแล้วมิใช่หรือขอรับ”

ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงไม่รับลูกศิษย์มาเป็นเวลาหลายปี

“หากท่านมีใจต้องการรับศิษย์ไว้สักคนจริงๆ นักเรียนในรุ่นนี้ก็มีพรสวรรค์ไม่เลวหลายคน…”

“พวกเจ้าจะไปรู้สิ่งใด!”

เยี่ยเหล่าตัดบทเขาด้วยความเหลืออด

“ลูกศิษย์ข้าเป็นอย่างไร ทำไม่ข้าจะไม่รู้!”

เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเหล่า เสียงของซุนจ้งเหยียนก็หยุดชะงักลงราวกับว่ามีใครมาบีบคอเอาไว้

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัดจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้น

ฉู่หลิวเยว่แอบสูดหายใจเงียบๆ

ตอนแรกนางแค่อยากเลือกอาจารย์เงียบๆ อย่างถ่อมตน หลังจากนั้นจะเริ่มตั้งใจฝึกฝนในสำนัก แต่ตอนนี้สงสัยคงเป็นไปไม่ได้แล้ว…

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเยี่ยเหล่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักเทียนลู่ลึกซึ้งขนาดนี้ ทั้งยังมาในเวลานี้พอดีเสียด้วย

“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของข้าตั้งแต่แรกแล้ว! เจ้าคิดจะแย่งข้าไปหรือ ฝันไปเถอะ!”

เยี่ยเหล่ายังคงพะว้าพะวังและมองซุนจ้งเหยียนด้วยสายตาราวกับมองเขาเหมือนหัวขโมยอย่างไรอย่างนั้น

เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่

“หลิวเยว่ คนพวกนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เจ้าอย่าหลงกลพวกเขาเด็ดขาดเชียวนะ!”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

ท่านพูดตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้จะดีหรือ…

เยี่ยเหล่ากล่าวพลางเผยสีหน้าน้อยใจ

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ มาที่สำนักก็ไม่บอกข้าสักคำ! หรือว่าเจ้าอยากจะหาคนอื่นมาเป็นอาจารย์ของเจ้าจริงๆ หรือ”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้

“ซือฝุ[1] ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า…”

“เหวยซือ[2] เก็บตัวบำเพ็ญเพียรแค่ไม่กี่วัน พอออกมาปุ๊บก็ไปหาเจ้าที่ตระกูลฉู่ปั๊บ แต่ใครจะไปรู้ข้าหาจนทั่วก็ไม่เจอใครสักคน! ข้าจึงไปถามคนแถวนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! หากข้าช้าไปก้าวเดียว เจ้าก็คงกลายไปเป็นลูกศิษย์ของไอ้เจ้าหมอนี่แล้วใช่ไหม!”

ซุนจ้งเหยียนที่โดนด่าก็ไม่รู้จะเสียใจหรืออธิบายอย่างไรแล้ว

บทสนทนาระหว่างเยี่ยเหล่าและฉู่หลิวเยว่มีเรื่องราวมากมายจนเขายังไม่ทันได้โต้ตอบ..

ฉู่หลิวเยว่กลั้นยิ้มและส่ายหน้า

“ในเมื่อข้ามีซือฝุแล้ว แน่นอนว่าข้าจะไม่คารวะฝากตัวกับอาจารย์ท่านอื่นอีกเจ้าค่ะ ศิษย์อยากฝึกค่ายกลกระบี่ด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

“ฝึกด้วยตนเองหรือ” เมื่อซุนจ้งเหยียนได้ยินก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ “แม่หนู เจ้าต้องคิดให้ดี หากไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ เส้นทางสู่การเป็นปรมาจารย์นี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ!”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ายืนกราน

“ขอบคุณผู้อาวุโสซุน ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซือฝุ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกกระมัง”

เยี่ยเหล่ากระอึกกระอัก

อันที่จริงเขาก็พอจะแอบเดาออกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์สอนปรมาจารย์จริงๆ ก็ได้ เช่นเดียวกับการทักษะด้านการแพทย์ที่ไม่อาจเดาขอบเขตได้ หรือแม้แต่กระทั่งนางอาจจะถึงระดับขั้นที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ได้

“เจ้าอยากจะทำสิ่งใด ซือฝุจะห้ามเจ้าได้อย่างไร เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ก็แล้วกัน!”

เยี่ยเหล่าโบกมือ

“เอาทะเบียนรายชื่อมา!”

ไม่นานก็มีคนเดินออกจากห้องและนำหนังสือหนาเล่มหนึ่งมา

บนหน้าปกบันทึกเล่มนั้นมีตัวอักษรปิดทองสี่ตัวเขียนอยู่

“สำนักเทียนลู่”

เยี่ยเหล่าเอามือวางบนบันทึกเล่มนั้น เมื่อเขาปล่อยมือหน้ากระดาษบันทึกก็ขยับพลิกหน้าได้ด้วยตัวมันเอง!

ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างๆ จึงสามารถอ่านรายชื่อที่อยู่ในบันทึกได้ชัดเจน

ชื่อของนักเรียนทุกคนล้วนเป็นตัวอักษรสีดำ ส่วนรายชื่อของอาจารย์จะเป็นตัวอักษรสีแดง

เมื่อพลิกมาถึงหน้ากระดาษแผ่นใหม่ที่ว่างเปล่า ในที่สุดมันก็หยุดได้เอง

เยี่ยเหล่ามีสีหน้านิ่งขรึม เขาชี้นิ้วแล้วเขียนชื่อของเขาบนหน้ากระดาษขาวสะอาด

“เยี่ยจือถิง”

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองเป็นประกายระยิบระยับ

ชื่อของเขาเป็นตัวอักษรสีทอง!

ไม่นานนัก ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏขึ้นเองตรงบรรทัดใต้ชื่อของเยี่ยเหล่า

“หัวหน้าสำนักคนที่หกสิบห้าแห่งสำนักเทียนลู่”

[1] ซือฝุ สรรพนามที่ศิษย์เรียกอาจารย์

[2] เหวยซือ สรรพนามแทนตัวเองของอาจารย์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์