กว่าฉู่หลิวเยว่จะพาตู๋กูโม่เป่ากลับมาถึงโรงเตี้ยม ก็เป็นเวลาของราตรีกาลแล้ว
เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการตบตาผู้อื่น ทั้งสองคนจึงจองห้องพักเพียงห้องเดียว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่สละเตียงนอนให้เขา แต่กลับถูกตู๋กูโม่เป่าปฏิเสธเสียงแข็ง
โดยที่เจ้าตัวให้ความว่า ร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของตนนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่กินไม่นอนถึงหนึ่งเดือนเต็ม ก็ไม่มีปัญหาอันใด
ดังนั้นตกกลางคืน ฉู่หลิวเยว่จึงนอนบนเตียงหลังใหญ่ ส่วนตู๋กูโม่เป่าก็นอนอยู่บนเก้าอี้นอนตัวเล็กข้างๆ นาง
ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่รวมกันอย่างสงบสุขไร้ข้อขัดแย้ง
ทว่าในวันนี้ ทันทีที่ตู๋กูโม่เป่ากลับมา เขาก็พุ่งตัวไปยังเก้าอี้นอนตัวเล็กทันที แล้วทิ้งตัวนั่งขัดตะหมาด พร้อมทำหน้าตาไม่สบอารมณ์พลางจ้องมองฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง
หลังจากฉู่หลิวเยว่ปิดประตูห้อง นางก็หันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นเจ้าก้อนหมั่นโถวเนื้อนุ่มนิ่มสีม่วงกำลังปล่อยลมปราณอันเย็นยะเยือกออกมา
“อุ้ย!”
ฉู่หลิวเยว่ส่งสายตารู้สึกผิดออกไป แล้วเคลื่อนตัวไปด้านข้าง ราวต้องการข้ามบทสนทนานี้ไป
แต่ตู๋กูโม่เป่ากลับดับฝันนางเสียก่อน
“เจ้าคิดจะเล่นบทแม่ม่ายไปจนถึงเมื่อใดกัน?”
ตู๋กูโม่เป่าถามอย่างเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่ลูบขมับของตน พลางยิ้มให้เขาอย่างงุ่มง่าม
“พี่เป่า เจ้าเองก็มิใช่หรือว่าข้าไม่มีทางเลือก! และถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเราจักถูกขังอยู่ที่นี่ไปอีกนานเท่าใด! อีกอย่างนะ ข้าเองก็ไม่เคยพูดเสียหน่อยว่าเราเป็นแม่ลูกกัน…”
ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาอันเย็นชาของตู๋กูโม่เป่า ฉู่หลิวเยว่ก็พลันหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“… เจ้าวางใจเถอะ ไว้รอถึงที่นั่นแล้ว ก็เปิดเผยตัวตนเสียเลย และทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง!”
ความจริงแล้วนางไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่านางเป็นมารดาของพี่เป่า และไม่เคยพูดเลยว่าคนที่นางตามหานั้นคือบิดาของพี่เป่า
เพียงแต่คำพูดอันคลุมเครือของนางนั้น ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกันไปเอง และนำไปสู่ความเข้าใจผิดในที่สุด
“เอาหน่า พี่เป่าอย่าได้โกรธเคืองข้าเลยนะ? นะ?”
ฉู่หลิวเยว่กุมมือเข้าด้วยกัน พลางอ้อนตาใสพร้อมส่งยิ้มพิมพ์ใจให้เขา
เมื่อเห็นท่าทีของนางเช่นนี้ ความโกรธเกรี้ยวเง้างอนที่เกิดขึ้นในใจของตู๋กูโม่เป่าก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
แล้วเบี่ยงหน้าไปอีกทาง
“มันจะไม่มีครั้งหน้าอีก”
“พี่เป่าใจดีที่สุดเลย!”
ฉู่หลิวเยว่พุ่งตัวไปหาเขาอย่างอดไม่ได้ และอยากจะบีบนวดแก้มกลมอ้วนของเขาสักที
แต่เหมือนว่าตู๋กูโม่เป่าจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พลันหันกลับมามองนาง
มือเรียวนั้นอยู่ใกล้แก้มกลมๆ เพียงแค่เอื้อม
แต่ก็จำต้องหยุดการเคลื่อนไหวทันควัน
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระส่ำ ก่อนจะรีบหยิกแก้มของเขาอย่างเร็ว แล้วดึงยืดแก้มนุ่มๆ ขึ้นจนเป็นรอยยิ้มเหยๆ บนใบหน้ากลมๆ นั่น
“จะทำหน้านิ่งทั้งวันไปไย ยิ้มเยอะๆ สิน่ามองกว่าเป็นไหนไหน!”
หลังจากพูดจบ ฉู่หลิวเยว่หุนหันพลันแล่นถอยกลับไปด้วยความเร็วแสงเพื่อเอาชีวิตรอด และถดตัวออกไปเร็วขึ้น
“ข้าไปฝึกสมาธิก่อนดีกว่า!”
ครั้นสิ้นสุรเสียง เจ้าของประโยคนั้นก็นั่งขัดสมาธิเสียแล้ว และมีเปลวเพลิงสีแดงลุกโชนอยู่ในฝ่ามือของนาง!
ตู๋กูโม่เป่าเหม่อมองธาตุอากาศตรงหน้า ก่อนจะเผลอยื่นมือออกไปสัมผัสตำแหน่งเดียวกันกับที่นางจับเมื่อครู่ก่อน
ราวกับว่ายังมีร่องรอยความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ตามรอยนิ้วมือของนาง
พลันมีแสงสีดำสว่างวาบผ่านรูม่านตาสีม่วงที่สวยงามและน่าหลงใหลของเขา
ถึงรูปกายจะเปลี่ยนไป แต่อารมณ์ในใจนั้นหาได้เปลี่ยนไม่
และเกรงว่าคงจะมีแค่นางที่อาจหาญและอวดดี กล้าพูดเรื่องแบบนี้กับเขา
ในอดีตเป็นอย่างใด ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
ตู๋กูโม่เป่าลอบมองนางอยู่เงียบๆ จากนั้นความเฉยเมยและความเย็นชา ตรงหว่างคิ้วและดวงตาของเขาก็ค่อยๆ มลายหายไป
ชั่วขณะหนึ่ง เขาหันไปมองกระจกด้านข้าง
ก่อนจะเห็นใบหน้าอันแปลกประหลาด ทว่าดูคุ้นเคยสะท้อนอยู่ในกระจกสัมฤทธิ์
ดวงตาของเขาสั่นไหว
ใบหน้าแบบนี้ถือว่าเหมาะสมสำหรับเด็กตัวน้อยๆ อย่างเขาแล้ว แต่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยหน้าตาแบบนี้จริงๆโนเวลพีดีเอฟ
เขาจ้องมองคนในกระจกอยู่พักใหญ่
และร่างเล็กในกระจกก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน
ใบหน้ากลมนั่นช่างดูเย็นชา รวมทั้งแววตาที่ดูไร้ความรู้สึก และแฝงด้วยรัศมีความกดดันอย่างหนัก
พอมองแล้วเหมือนว่า…จะเป็นสีหน้าที่สร้างความไม่พอใจให้คนมองอยู่พอสมควร
หัวใจของเขากระตุกวูบ ก่อนจะพยายามยกมุมปากขึ้นช้าๆ
แข็งทื่อจังเลย
ยิ้มแปลกสุดๆ
ตู๋กูโมเป่ารู้สึกอึดอัดใจ ขณะเดียวกันก็ทั้งโกรธทั้งไม่พอใจครั้งแล้วครั้งเล่า
แสงสีม่วงพลันลุกพรึบ! แล้วห่อหุ้มกระดานหมากรุกทั้งหมดไว้ทันที! พริบตาเดียว เบี้ยสีแดงก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น!
เมื่อแสงทั้งหมดค่อยๆ จางหายไป ตู๋กูโม่เป่าก็ตวัดสายตามองฉู่หลิวเยว่
“การดวลครั้งที่สามร้อยเจ็ดสิบสอง – ข้าเป็นฝ่ายชนะ”
ฉู่หลิวเยว่หมุนมือที่วางบนที่วางแขนของเก้าอี้ไปมา พลางหอบหายใจหนัก หยาดเหงื่อไหลซึมออกมามากมาย พลังปราณดั้งเดิมในกายนางกายใกล้จะหมดลงแล้ว!
และอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความเศร้าเสียใจ
“เจ้า…เจ้า…เจ้าชนะทุกรอบ! แล้วยังจะนับครั้งไปไย!”
“แน่นอนว่าเพราะข้าอยากให้เจ้ารู้ว่า ตอนนี้เจ้าอ่อนแอมากแค่ไหน”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวเสียงเรียบ
“แต่เจ้าเองก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกัน ตาเมื่อครู่เจ้าเดินหมากไปตั้งยี่สิบสามก้าว ถือว่ามากกว่าตาแรกตั้งเยอะ”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิบๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ไม่จำเป็น”
ใครมันจะไปกล้าอวดเรื่องแบบนี้กันเล่า!
ยี่สิบสามเก้าหรือ…
แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับคนคนเดียวอย่างหมดรูปเช่นนี้มาก่อนเลย!
นางบีบนวดคลายความปวดเมื่อยที่ลำคอ พลันเหลือบมองตู่กูโม่เป่าอย่างอดไม่ได้
“ว่าแล้วก็…พี่เป่า ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ด้วย แล้วตอนนี้เจ้า…เป็นปรมาจารย์ขั้นใดหรือ?”
ก่อนหน้านี้นางรู้เพียงว่าพลังในการต่อสู้ของตู๋กูโม่เป่านั้นแข็งแกร่งมาก แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของเขา จะเหนือกว่าปรมาจารย์ทั่วไปเพียงนี้!
อย่างน้อยมันก็เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนแบบนี้!
ตู่กูโม่เป่ากล่าวง่ายๆ ว่า
“แค่รู้ไว้ว่าตอนนี้ข้าอยู่สูงกว่าเจ้าก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
“ไปเถอะ พวกเราควรไปจวนตระกูลหลินได้แล้ว”
นางเอ่ยพลางลุกพรวดขึ้น
ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากด้านนอก
พร้อมกับประตูบานใหญที่ถูกกระแทกให้เปิดออก!
“โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ตู๋กูเยว่!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...