ใบหน้าของเจียงจื่อหยวนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นัยน์ตาคู่สวยเอ่อนองด้วยหยาดน้ำตา และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหน่วงๆ ที่ปลายจมูก
นางกัดปากแน่นพยายามสงบสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นไห้ดังออกมาอย่างชัดเจน
“… แท้จริงแล้วท่านจงเกลียดจงชังข้ามากเลยสินะ…”
ความจริงแล้วครั้งนี้นางมีความสุขมากที่ได้มาที่นี่ และสิ่งเดียวที่ใจของนางเฝ้ารอก็คือการได้พบหน้าเขาอีกครั้ง
หลายปีมานี้นางไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่สักเท่าไร และกับหรงซิวก็นับว่าสองปีแล้วที่นางมิได้พบเขา
นางเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้พบเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในฝันนั้นไม่มีภาพใดน่าอับอายเท่าภาพที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้านางอย่างตอนนี้อีกแล้ว
ใบหน้าของนางร้อนฉ่าและเจ็บแสบราวกับถูกไฟเผา
ผู้คนรอบตัวจ้องมองนางด้วยสายตาทิ่มแทงดุจเข็มแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจ จนนางอยากจะหายตัวไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด!
และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะหักหน้านางได้ขนาดนี้!
เมื่อเทียบกับเจียงจื่อหยวนที่กำลังตื่นตระหนกและเสียใจแล้ว หรงซิวกลับไม่เห็นใจนางเลยสักนิด
เมื่อก่อนท่านประมุขสูงสุดนั้นยินยอมและตามใจนางทุกอย่าง จนเขาคร้านที่จะแย้ง
ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เจียงจื่อหยวนมิได้มีสถานะต่ำต้อยแต่อย่างใด เพียงแต่ที่นี่คือพระราชวังเมฆาสวรรค์ และนางไม่มีสิทธิ์มาอวดดี
“อวี๋มั่ว เจ้าอยู่ที่นี่ แล้วคอยดูการลงโทษของพวกเขาให้จบเสีย”
“ขอรับ!”
อวี๋มั่วปาดเหงื่อออกจากหน้าผากอย่างยากเย็น และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจียงจื่อหยวน ด้วยความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นมาในอก
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ ใช่สตรีที่เคยอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์เมื่อในอดีตแน่หรือ?
กล้าบุกเข้ามาในตำหนักเช่นนี้ ช่างโอหังเกินไปแล้ว!
แถมยังไม่สำเหนียกว่าตัวเองเป็นคนนอกอีก!
เมื่อหรงซิวพูดจบ ขายาวพลันก้าวเท้าไปข้างหน้า และกำลังจะออกไปให้พ้นจากตำหนัก
แต่พอเห็นว่าเขากำลังจะจากไป เจียงจื่อหยวนก็ตะโกนเสียงดังลั่นอีกครั้ง
“ช้าก่อน! ฝ่าบาท ท่านมิอยากเจอข้าเลยหรือ? พวกเราไม่ได้พบกันตั้งหลายปี…”
เดิมทีหรงซิวอยากจะพยักหน้าตอบกลับไปให้จบๆ แต่เพื่อเห็นแก่ตระกูลเจียง สุดท้ายเขาก็ยังเมตตาอีกฝ่าย
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”
เจียงจื่อหยวนชะงักไปเล็กน้อย
“ในเวลาแบบนี้ ยังมีเรื่องใดสำคัญจนท่านต้องไปจัดการด้วยตัวเองอีก?”
อีกไม่นานงานฉลองก็จะเริ่มขึ้นแล้ว นี่เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
แววตาของหรงซิวพลันเย็นวาบ ราวกับถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ
“นี่คุณหนูใหญ่เจียงกำลังเค้นความข้าหรือ?”
หัวใจของเจียงจื่อหยวนแทบหยุดเต้น
“ไม่ ข้าเปล่าทำ…ข้าแค่ถามเฉยๆ ถ้าท่านไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร…”
แต่เมื่อเห็นว่าหรงซิวมิได้รู้สึกรู้สากับคำพูดของนาง และกำลังจะก้าวเท้าออกไป นางพลันกัดฟันกรอดและก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน!”
หรงซิวนั้นคร้านจะต่อความกับนาง ร่างสูงหมุนตัวเดินต่อไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสำนักวิชา!”
เจียงจื่อหยวนตะโกนลั่น
หรงซิวชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองนาง ดวงตาที่ลึกล้ำนั้นจ้องมองนางตาเขม็ง ราวสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ว่ามา”
…
กลุ่มของฉู่หลิวเยว่เดินไปตามสะพานเชื่อมสีเงิน และหลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาถึงเกาะหลัก
ครั้นเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดบนเกาะหลักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
บนเกาะอันกว้างใหญ่นี้ มีทั้งภูเขาและเนินเขาสลับซับซ้อนเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน
และบนภูเขาเหล่านี้ก็มีพระราชวังน้อยใหญ่กระจายอยู่หลายแห่ง
ซึ่งบนยอดเขาที่สูงที่สุดในใจกลางเกาะนั้น มีพระราชวังหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ส่วนพื้นที่ที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ อยู่ในตอนนี้ คือส่วนล่างและขอบของเกาะหลัก
ฉะนั้นหากใครต้องการชื่นชมพระราชวังเหล่านั้น ก็จำต้องมองลงมาจากฟากฟ้าสถานเดียว
เพราะถ้ามองจากส่วนล่างเกาะแล้ว จักมองแทบไม่เห็นอันใดเลย
หูหยางพาพวกเขาเดินเข้าไป
พลันมีเสียงหวีดแหลมประหนึ่งนกหวีดดังมาจากด้านข้าง
ปรากฏว่ามีแม่นางสองสามนางกำลังพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นอยู่ตรงมุมหนึ่งของตำหนัก
“พระราชวังเมฆาสวรรค์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ! ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่แพงหูฉี่! ข้าได้ยินว่าชาถ้วยนั้นที่ดื่มไปเมื่อครู่มีราคาหนึ่งถึงสองแสนผนึกศิลาขาวเชียวนะ!”
“จริงหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง…ข้าก็ขออยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยแล้วกัน!”
“จะอยู่ที่นี่ไปไย? วังใหญ่ๆ ด้านบนสิน่าอยู่กว่าเยอะ! เจ้าเห็นวังที่อยู่สูงสุดนั่นหรือไม่? มีข่าวลือว่านั่นคือตำหนักที่พระโอรสใช้บรรทมด้วย!”
“เอ่อ แต่นั่นมิใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้ง่ายๆ เลยนะ…”
“ไม่ง่ายหรือ? ยามนี้ฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีเลือกพระชายา ขอเพียงถูกฝ่าบาทเลือก…”
“เงียบ! เบาเสียงหน่อย! พวกเจ้าไม่กลัวใครมาได้ยินเข้าเลยหรือไร! ถึงครั้งนี้แต่ละเผ่าจักส่งสตรีผู้โดดเด่นมามากมาย แต่ใครจักไม่รู้บ้างว่าผู้ที่ได้ตำแหน่งพระชายานั้น ถูกคนในวังเลือกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าหมายถึง… คนผู้นั้นจากเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงหรือ?”
“นอกจากนางแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า? เขาลือกันว่าความงามของนางนั้นตรึงตราตรึงใจนัก แถมยังเกิดมาพร้อมชีพจรเทียนจิงที่หายากเสมือนพระโอรสอีก!”
“แค่นั้นยังไม่พอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียง คือเผ่าที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขคนเก่าของพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ยังสนิทชิดเชื้อกับเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงอีก และยังรักใคร่เอ็นดูคุณหนูใหญ่เจียงคนนั้นมาก เห็นว่าตอนที่นางยังเด็ก นางใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์! ทว่าไม่กี่ปีก่อน สืบเนื่องมาจากการสละตำแหน่งของท่านประมุข นางจึงต้องหันไปเคร่งครัดกับการบำเพ็ญเพียร ทำให้นางไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่”
“ประวัติยาวเหยียดเพียงนี้ พวกเจ้ายังคิดว่าตำแหน่งพระชายา จักตกเป็นของตระกูลอื่นอีกหรือ?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงยังจัดพิธีเลือกพระชายาอยู่อีกเล่า? แค่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่เจียงผู้นั้น ก็น่าจะพอแล้วมิใช่หรือ?”
“เรื่องนั้นใครมันจะไปตรัสรู้ได้? ว่าแต่พวกเราเถอะ ไหนไหนก็มาเป็นตัวเลือกแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าไม่ถูกเลือกให้เป็นชายา ก็ยังมีตำแหน่งนางสนมอยู่นะ? หรือถ้าแย่สุดๆ ก็ยังเป็นนางบำเรอได้! ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใด แต่ขอแค่ถูกเลือก ก็สุขสบายไปทั้งชีวิตแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่าโอรสสวรรค์นั้นงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเทพยดาที่ถูกเนรเทศลงมาจุติ แต่ข้าเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างใด…”
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางของตนไปมา
อืม
พระชายา
สนมเอก
นางบำเรอ?
เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างมีความสุขเสียเหลือเกินนะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...