แม้ว่าบ้านพักที่ทางสำนักจัดไว้ให้สำหรับฉู่หลิวเยว่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ยังมีห้องว่างอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าหรงซิวมาแย่งเตียงนอนของตัวเองอีกครั้ง ฉู่หลิวเยว่ก็โกรธไม่ลง และนางก็เริ่มเคยชินขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากที่นางเข้าไปอีกห้องที่อยู่ติดกันแล้วปิดประตูลง นางก็ตั้งใจฟังเสียงอีกครั้งหนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ มาจากห้อด้านงข้าง นางจึงสงบจิตสงบใจ
ในเมื่อหรงซิวสามารถลอบเข้ามาในสำนักเทียนลู่อย่างไร้สุ้มเสียงได้ ก็คงไม่มีใครจับเขาได้แน่นอน นางจึงไม่กังวลในเรื่องนี้
ขณะนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้พักผ่อนในทันที ตรงกันข้ามนางกลับนั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งรวบรวมลมปราณและสมาธิเพื่อดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน
พลังไร้รูปร่างหนึ่งสายค่อยๆ หลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของนางเคลื่อนไหวผ่านเส้นชีพจรและอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย จนในที่สุดการเคลื่อนไหวที่ไร้เสียงนั้นก็มาถึงหยดน้ำกลางจุดตันเถียน
นับตั้งแต่วันที่นางหลอมหยวนตันแสนวิเศษนี้และหลังจากที่นางเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการฝึกยุทธ์ใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เคยมีวันหย่อนยานในการฝึก
ไม่ว่าในแต่ละวัน นางจะยุ่งหรือเหนื่อยสักเพียงใด นางก็จะยังคงฝึกฝนโดยไม่คิดเสียดายเวลาเลยสักนิด
แม้จะไม่มีใครข่มเหงรังแกแล้ว แต่นางส่วนลึกในใจของนางยังคอยย้ำเตือนเสมอว่านางยังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ
การมีชีวิตใหม่อีกครั้งเป็นโอกาสที่ดี ดังนั้นนางต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วผ่อนลมหายใจออกมา
นางสามารถสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างกายค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน ถึงอย่างไรร่างนี้ก็มีชีพจรตี้จิง หากคิดที่จะฝึกยุทธ์ขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเร็วกว่าคนธรรมดาตั้งเท่าไหร่
ทว่ามันยังไม่พอ!
ในอดีตชาติของนางถือกำเนิดมาก็มีชีพจรเทียนจิง มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแล้ว ซึ่งชีพจรตี้จิงของนางในปัจจุบันยังเทียบไม่ติด
แต่นางก็ทราบดีว่าเรื่องนี้จะใจร้อนเกินไปไม่ได้ สถานะอดีตศัตรูของนางนั้นสูงกว่านางในตอนนี้มากโข ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ก่อนหน้านี้ซือหยางเคยบอกว่าผู้ที่สอบกลางภาคได้อันดับหนึ่งจะมีโอกาสได้เข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่ง
พอนับเวลาดูก็น่าจะใกล้เข้ามาแล้ว…
ในที่สุดฉู่หลิวก็วาดแผนภาพค่ายกลเงียบๆ ในใจ ก่อนที่จะพักผ่อนในที่สุด
…
วันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว นางก็นึกขึ้นได้ว่าหรงซิวยังนอนอยู่ในห้องข้างๆ นางจึงเดินเข้าไปเคาะประตู
กลับไร้การตอบสนอง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเขาได้จากไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ตบหน้าผากตัวเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เป็นถึงหลีอ๋องตำแหน่งใหญ่โตซะเปล่า แต่ทำเหมือนบ้านนางเป็นโรงเตี๊ยมไปได้
ถ้าหากตอนนี้เขายังอยู่ที่นี่ก็คงลำบากใจไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจเรื่องนี้อีกแล้วหันหลังออกไปจากประตู
…
“นี่ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ คาบเรียนฝึกสมาธิเมื่อวาน กู้หมิงจูท้าทายฉู่หลิวเยว่ไม่สำเร็จ แพ้จนต้องเสียแผนที่ค่ายกลระดับห้าไปถึงสองอันเชียวนะ!”
“จริงหรือ พรสวรรค์ของกู้หมิงจูก็แข็งแกร่งมากมิใช่หรือ ทำไมถึงแพ้ฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ”
“จริงแท้แน่นอน! ตอนนี้เขาลือกันไปทั่วสำนักแล้ว กู้หมิงจูมีพรสวรรค์ก็จริง แต่พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าฉู่หลิวเยว่เข้าเรียนวันแรกก็คว้าที่สองของการสอบกลางภาคมาได้ แต่อย่างว่า นางช่างกล้าจริงๆ ด้วยฐานะของกู้หมิงจู นางไม่ไว้หน้ากู้หมิงจูเลยสักนิด…”
“นางยังไม่ไว้หน้าองค์ชายรัชทายาทเลย นับประสาอะไรกับผู้อื่นเล่า”
“ข้าไม่กล้ามีเรื่องกับฉู่หลิวเยว่นี่จริงๆ…”
เมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึงหอคอยจิ่วโยว นางก็ได้ยินเสียงบทสนทนาพวกนี้จากระยะไกล
หลังจากที่เห็นร่างของนางแล้ว เสียงเหล่านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็มองมาที่นางอย่างทำตัวไม่ถูก
บางทีผู้ฝึกปรมาจารย์หลายคนอาจไม่เคยเห็นฉู่หลิวเยว่มาก่อน แต่นางก็มีชื่อเสียงทางด้านผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งนี้พอสมควร
ตอนที่นางประลองกับฉู่เซียนหมิ่นในวันนั้น นักเรียนผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปทางหอคอยจิ่วโยวต่อ
“ช้าก่อน!”
น้ำเสียงที่ฟังดูยียวนดังขึ้นจึงทำให้ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
ผู้ที่มาขวางนางไม่ใช่ใครอื่น เป็นลู่เฟยเยี่ยนนั่นเอง
“มีเรื่องอะไร”
ฉู่หลิวเยว่เอยถามเสียงเรียบนิ่ง
ลู่เฟยเยี่ยนทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วมุ่น แล้วนางก็ยิ่งขึ้นเสียงสูงจนฟังแล้วบาดแก้วหูไปหมด
“แน่นอนว่ามีเรื่อง! ฉู่หลิวเยว่ เจ้ามาทำอะไรตรงนี้”
ฉู่หลิวเยว่ตอบด้วยความแน่วแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์