เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1098

“เรื่องนี้ผู้อาวุโสถงชวนไม่ต้องห่วง”

หรงซิวยิ้มเยาะ

“หากท่านรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ถึงเพียงนั้น ก็หาเวลาไปปลอบใจประมุขกับคุณหนูใหญ่เจียงแห่งเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเถิด อย่างใดเสีย ท่านกับพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดหนิ”

ถงชวนใจกระตุกวูบ พร้อมความกระวนกระวายใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย เขาตกใจพลันเหลือบมองหรงซิวแวบหนึ่ง

หรงซิวรู้อันใดมาอย่างนั้นหรือ?

ทว่าบนใบหน้าอันสูงศักดิ์และร้ายกาจดุจจอมมารของหรงซิว มีเพียงรอยยิ้มบางแต่งแต้มไว้จางๆ ดวงตาคมคู่นั้นลึกล้ำและดำดิ่งเสียจนคนมองอ่านความคิดของเขาไม่ออก

โอรสสวรรค์ผู้นี้ ยิ่งโตวีธีการของเขาก็ยิ่งโหดเหี้ยมและเด็ดขาดมากขึ้น แถมยังเดาความคิดได้ยากขึ้นด้วย…

ผู้อาวุโสถงอึดอัดใจอย่างมาก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วย่อตัวลงโนเวลพีดีเอฟ

“นั่นไม่จำเป็น ข้าเป็นผู้อาวุโสของพระราชวังเมฆาสวรรค์ เดิมทีก็ควรรักษาระยะห่างจากชนเผ่าอื่นๆ อยู่แล้ว จะให้ทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ที่ข้ามาคุยกับท่านในวันนี้ก็เพื่อตัวท่านและพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งหมด หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงอภัยให้”

หรงซิวพยักหน้าตอบไปราวกับไม่สนใจ พลันยกยิ้มเล็กน้อย

“แน่นอน หลายปีที่ผ่านมาผู้อาวุโสถงชวนทั้งจงรักภักดีและอุทิศตนให้พระราชวังเมฆาสวรรค์ของเรา แล้วข้าจะไม่พอใจเจ้า เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างใด?”

“เช่นนั้นก็ดี ดีจริงๆ …”

เสียงของถงชวนแผ่วลงกว่าเดิม

ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่หรงซิวก็ดูปกติดี แต่กลับเป็นเขาเองที่ร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยค เขาก็รีบกล่าวลาและจากไป

เมื่อเห็นเขาหายไปจากครรลองสายตาแล้ว หรงซิวก็พลันหรี่ตาลงพลางคว่ำปากอย่างผิดหวัง

“…ช่าง…อ่อนแอเสียจริง…”

ก็แค่กล่าวอย่างคลุมเครือ ก็ถึงกับลนลานมากเพียงนี้แล้ว

ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะวางอำนาจในพระราชวังเมฆาสวรรค์มาได้ตั้งหลายปี

และเมื่อคิดถึงเรื่องชองสำนักวิชา แววตาของหรงซิวพลันหม่นแสงลง ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมาย

ขณะที่โลกภายนอกกำลังเกิดสงครามย่อมๆ ทว่ายามนี้ฉู่หลิวเยว่กลับไม่รู้เรื่องเลย

นางกำลังเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่า

กึก!

ตู๋กูโม่เป่าดีดนิ้วส่งหมากรุกตัวหนึ่งให้ลอยไปตกลงบนกระดานหมากรุก!

ฉู่หลิวเยว่แพ้!

พรึบ!

กระดานหมากรุกพลันหายวับไป!

ฉู่หลิวเยว่บีบนวดใบหน้าของตนอย่างท้อใจ

“ข้าแพ้อีกแล้ว”

ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของตู๋กูโม่เป่ายังคงเรียบเฉย

“ดีกว่าตาเมื่อครู่นิดหน่อย แต่ก็ยังไม่พอ”

ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างเศร้าสร้อย

“ได้เดินหมากเพิ่มขึ้นห้าก้าวนี่ถือว่าคืบหน้าอยู่ใช่หรือไม่?”

ตลอดสองชั่วยามนี้ นางจำไม่ได้เลยว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วกี่ครั้ง

และหลังจากจบสองชั่วยาม “ความคืบหน้า” อันน่าสมเพชเพียงอย่างเดียวที่ได้ก็คือ จำนวนการเดินหมากของนางเพิ่มขึ้นตั้งห้าก้าว

แต่มันก็แค่ตาเดียวเท่านั้น

“หรงซิวเองก็น่าจะเคยเล่นหมากรุกกับเจ้าใช่หรือไม่? แล้วเขาสู้เจ้าได้กี่ก้าว?”

ฉู่หลิวเยว่โพล่งถามด้วยความสงสัย

ตู๋กูโม่เป่าตวัดตาขึ้นมองนางนิดๆ

“มากกว่าเจ้าก็แล้วกัน”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

นี่นางควรจะถามต่ออีกดีหรือไม่?!

แน่นอนว่านางรู้ว่าหรงซิวนั้นแข็งแกร่งกว่านางในตอนนี้มาก!

แม้คืนวันงานพิธีคัดเลือกพระชายา นางจะสามารถเอาชนะหรงซิวได้อย่างหวุดหวิด แต่ความจริงแล้วนางรู้ว่าเขาออมมือให้ และมิได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแต่อย่างใด

และนางรู้มาตลอดว่า นางไม่มีทางชนะเขาได้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง คิดแล้วฉู่หลิวเยว่ก็พลันใจเสียขึ้นมา

“เช่นนั้นก็ฝึกต่อเถอะ!”

แต่ตู๋กูโม่เป่ากลับส่ายหัว

“ถึงเวลาฝึกอย่างอื่นแล้ว ถ้าจะเล่นต่อก็รอพรุ่งนี้”

ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตู๋กูโม่เป่าขอให้นางฝึกกับเขาแค่สองชั่วยาม และฝึกโดยใช้หุ่นเชิดที่เขา “พัฒนา” ขึ้นมาใหม่ด้วย

นางกวาดตามองไปรอบๆ

“เหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะนะ?”

ตู๋กูโม่เป่ากระโดดลงจากเก้าอี้และเดินออกไปข้างนอก

“ตำหนักสักการะเทพใหญ่โตมาก ตรงไหนที่ว่าฝึกไม่ได้กัน?”

หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เดินออกมา นางถึงได้รู้ว่าตัวเองกังวลมากเกินไป

ฉู่หลิวเยว่มองย้อนกลับไป ก่อนจะเห็นว่าเยี่ยนชิงออกไปแล้ว และประตูก็ปิดลงแล้วเช่นกัน

ตู๋กูโม่เป่าไม่ตอบคำ หากแต่เชิดปลายคางขึ้น

“ตอนนี้เจ้าขึ้นไปได้แล้ว”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พลันเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย แล้วกระโดดไปยังใจกลางของสนามฝึก!

“เริ่มกันเลย!”

ตู๋กูโม่เป่าขยับข้อมือหนึ่งที พลันมีคลื่นแสงสีม่วงพุ่งออกมา!

หึ่ง!

เพียงพริบตา ก็มีร่างเงาสูงใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉู่หลิวเยว่!

นี่คือหุ่นเชิดสีทองอมน้ำตาล นางไม่รู้ว่ามันทำมาจากอันใด ดูๆ แล้วไม่น่าจะใช่ทั้งทองหรือหยก ทว่าครั้นต้องโดนแสงแดด มันกลับทอประกายแวววาวออกมาจางๆ

เมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่ก็เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่าถึงหุ่นเชิดตัวนี้จะดูแข็งทื่อ แต่ในความเป็นจริงมันเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมาก ถ้าไม่นับว่ามันรวบรวมพลังปราณดั้งเดิมไม่ได้ มันก็แทบจะเหมือนกับคนจริงๆ แล้ว!

พรึบ!

แสงสีม่วงสว่างวาบไปทั่วดวงตาของหุ่นเชิด พลันยิงลำแสงนั่นออกไป! โดยพุ่งเป้าไปยังฉู่หลิวเยว่!

พริบตาเดียว แสงนั่นก็มาถึงด้านหน้านางแล้ว!

ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง!

เร็วมาก!

นี่คือด่านแรกของการฝึกทะลวงระดับแปดสินะ!

หุ่นเชิดสีทองอมน้ำตาลปล่อยหมัดออกไป โดยเล็งไปที่ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่!

ฉู่หลิวเยว่ยกแขนขึ้นขวาง!

ตูม!

เกิดเสียงกระแทกดังสนั่น!

พร้อมความปวดร้าวที่แผ่ซ่านไปทั่ว!

แต่มันก็ดีกว่าที่ฉู่หลิวเยว่คาดไว้มาก

“แม้เจ้าจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นต้น แต่ต้องขอบคุณประสบการณ์จากพลังจิตวั่งเสิ่น เพราะมันทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพและด้านอื่นๆ ของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จริงๆ แล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้า อยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุด”

เสียงของตู๋กูโม่เป่าดังขึ้น

ดวงตาของเขากวาดมองไปยังใบหน้าของฉู่หลิวเยว่

“ดูแล้วคงใช้เวลาไม่ถึงสิบวัน”

“เปลี่ยนเป็นห้าวันแทนแล้วกัน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์