เสียงนั่นทำเอาผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเงียบลงในบัดดล ทุกคนต่างก็มองฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าที่หลากหลาย
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะสาวเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า
“ฉู่เยว่!”
หลัวซือซือรุดหน้าขึ้นไปห้ามนางด้วยสีหน้าวิตก
“ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไปกับเจ้าด้วย…”
“ซือซือ เจ้ามิรู้หรือว่าแม่นางผู้นั้นคือใคร?”
อิ่นฝานหัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาแฝงคำเตือนเอาไว้
“นั่นก็คือหลิ่วอินถง อันดับที่สี่สิบเก้าจากรายนามเซียนหมอทั้งหมดอย่างใดเล่า! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นจอมยุทธ์อันดับที่สี่สิบหกอีกด้วย! ไม่ใช่คนที่จะไปต่อกรด้วยง่าย! ส่วนเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาคนแรกสุดเมื่อครู่คือกงเซิ่ง…เป็นถึงจอมยุทธ์ที่ครองอันดับที่สามสิบเก้าเลยเชียว! ส่วนคนอื่นก็ล้วนมีพลังแกร่งกล้ามิอ่อนด้อย หาใช่บุคคลธรรมดาสามัญไม่ พวกเขา…พวกเราจักไปต่อกรกับพวกเขาไม่ได้!”
ภายในสำนักหลิงเซียวเอง รายนามอันดับเหล่านี้ย่อมเรียกได้ว่าโดดเด่นเกินใคร
ต้องเข้าใจก่อนว่าศิษย์ใหม่ที่สำนักรับเข้ามานั้นล้วนเป็นอัจฉริยะจากทั่วทุกหนทุกแห่งในใต้หล้า
สามารถเข้าสำนักหลิงเซียวมาได้ก็ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว ไหนจะบางคนที่แสดงพรสวรรค์ของตนออกมาได้ตั้งแต่อยู่ในสำนักอีก?
“แต่…”
“อันดับของศิษย์พี่หลัวเยี่ยนหลินดีกว่าของพวกเขาก็จริง แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าเวลาอยู่ในสำนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ก็ต้องจัดการแก้ด้วยตัวเอง”
อิ่นฝานพูดไปพลาง มองฉู่หลิวเยว่ไปพลางด้วยสายตาแฝงความนัยเอาไว้
หลัวซือซือคิดจะเอ่ยออกมาอีกสักคำรบหนึ่ง ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับส่งสายตาเป็นเชิงผ่อนคลายมาให้แล้วหัวเราะเสียงเบา
“วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างใดต่อ”
เอ่ยจบ นางก็ก้าวขาเรียวยาวของตนไปยังเบื้องหน้า
…
คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันมองดูฉากนี้
บนยอดเขาพลันเงียบสงบลงในชั่วขณะหนึ่ง
“เสี่ยวเฟิ่ง กลับมานี่”
หลิ่วอินถงตะโกนเรียกหาเจ้ากษายะหางวายุตัวนั้นคราหนึ่ง
เพียงแค่ได้ยินสุ้มเสียงที่ทะลุทะลวงอากาศมา เงาร่างสีแดงก็บินวกกลับเป็นเส้นโค้งกลางอากาศอย่างเร็วรี่
กษายะหางวายุตัวนั้นบินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วอินถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่บนร่างเองก็ค่อยๆ สลายไป
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าก้าวขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนพวกนั้นโดยยืนห่างออกมาห้าก้าว
การยืนประจันหน้ากันของทั้งสองฝ่ายพาให้ดำดิ่งลงในบรรยากาศที่เปราะบางขนานหนึ่ง
สายตาของหลิ่วอินถงกวาดไปมองร่างของถวนจื่อก่อนเสียรอบหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง การยืนประจันหน้าของทั้งสองฝ่ายนั้นใกล้กันอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมองเห็นสภาพของกันและกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้รวมถึงหลิ่วอินถง จึงล้วนมองเห็นถวนจื่อที่นอนขดตัวอยู่บนบ่าของฉู่หลิวเยว่กันทั่วถ้วน
สีชาดดุจดั่งเปลวเพลิงที่กำลังลุกโหมปะทุไหม้อยู่ก็มิปาน บนร่างกายของมันนั้นสวยสดบริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเจือปนโดยแท้ เห็นได้ชัดเลยว่างดงามยิ่งกว่ากษายะหางวายุของหลิ่วอินถงมากมายนัก
อีกทั้งยังพิสูจน์ได้ว่า พลังของสายเลือดในกายของมันนั้นหนาแน่นและบริสุทธิ์ยิ่งกว่า
หัวคิ้วของหลิ่วอินถงขมวดเข้าหากัน
นับตั้งแต่ที่นางได้ทำพันธสัญญากับกษายะหางวายุตัวนี้ นางก็ภูมิใจในเรื่องนี้มาโดยตลอด
เพราะว่ากันตามตรงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อยที่จะโชคดีแบบนี้
ใครจะไปรู้ว่าศิษย์ใหม่ที่ดูไม่มีอันใดดีที่เพิ่งได้ก้าวเข้าสำนักมาหมาดๆ เองก็มีกษายะหางวายุไว้ในครอบครองเช่นกัน!
แล้วยังดูดีกว่าเจ้าตัวนั้นของนางอีก!
ในใจของหลิ่วอินถงที่กำลังเบิกบานอยู่รู้สึกบัดซบขึ้นมาโดยพลัน
“ฉู่เยว่ขอคารวะศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลาย”
ฉู่หลิวเยว่ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ก้มคำนับคนเหล่านี้อย่างสุภาพ
ท่วงท่าคำนับมิได้ถ่อมตนแต่ก็ไม่แข็งกระด้าง สีหน้าเองก็ไร้แววประหม่าพรั่นใจ
“ที่แท้เจ้าก็คือฉู่เยว่นี่เอง”
สายตาของหลิ่วอินถงกวาดมองฉู่หลิวเยว่เป็นเชิงจับผิด ราวกับว่ากำลังตรวจดูสินค้าราคาต่ำอยู่ก็มิปานอย่างไม่คิดปิดบัง
ฉู่หลิวเยว่ทำประหนึ่งว่ามองไม่เห็นสายตาของนาง สีหน้ายังคงนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน
“ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานนัก คงต้องรบกวนศิษย์พี่ชายหญิงหลายท่านนี้ช่วยชี้แนะด้วย”
“ฮ่า! เจ้าหนูนี่รู้จักพูดซะจริง!”
กงเซิ่งที่อยู่ข้างกันนั้นโบกมือพลางกระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนอย่างเคย
“เจ้ากษายะหางวายุของเจ้าตัวนี้น่าสนใจไม่เบา! ปกติอาถงชอบอวดเจ้าตัวนั้นของนางอยู่บ่อยๆ มาวันนี้ก็บังเอิญได้เจอเข้าอีกตัวหนึ่ง มิเช่นนั้นลองให้มันสู้กันดูสักตั้ง เจ้าว่าอย่างใด?”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ศิษย์น้องมิบังอาจเทียบเคียง”
“เจ้าคิดจะเล่นพิเรนทร์อันใดอีกล่ะ?”
หลิ่วอินถงปรายตามองเขาอย่างเย็นชา
กงเซิ่งมิได้ใส่ใจในสายตาเช่นนั้นของนางเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยแกมหัวเราะต่อว่า
“คิดดูสิ พลังสายเลือดของเจ้ากษายะหางวายุตัวนี้ของเจ้าอ่อนด้อยกว่าของศิษย์น้องฉู่เยว่อยู่หน่อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเจ้าน่ะเหนือชั้นกว่าเขา ระดับพลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าสามารถใช้ได้ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าของเขาอยู่แล้ว”
“ดังนั้นแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือพวกเจ้าทั้งสองต่างก็มีจุดแข็งของตัวเอง ก็เลยพูดได้ยากว่าใครจะแพ้ชนะ ข้าว่า…ใช้โลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์สามหยดเป็นของเดิมพัน เจ้าว่าดีหรือไม่? ฝั่งไหนแพ้ก็ต้องส่งมอบโลหิตสามหยดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้อีกฝั่ง!”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบพลันเงียบเสียงในบัดดล
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง พวกเขาก็ล้วนรู้แจ้งแก่ใจดีว่าโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์สามหยดนี้หมายถึงสิ่งใด!
ภายในร่างกายของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกตัว สายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังสายเลือดไหลเวียนอยู่นั้นมีจำกัด!
การส่งมอบออกไปสามหยด ก็คือการให้พลังสายเลือดของตนแก่ฝั่งตรงข้ามไปแบบเปล่าๆ!
“หากว่าเป็นการแข่งขันแบบอื่น แข่งกันเช่นนี้ก็คงน่าเบื่อแย่ แต่ว่า…นี่เป็นกษายะหางวายุทั้งสองตัวเลยนะ!”
ในแววตาของกงเซิ่งทอประกายตื่นเต้นออกมา
เผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่นก็แปลว่าพวกมันสามารถกลืนกินพลังสายเลือดซึ่งกันและกันของอีกฝ่ายได้!
ความคิดของหลิ่วอินถงสั่นไหว
ในคราแรกนางยังคิดไปไม่ถึง ทว่ายามนี้เมื่อได้ฟังสิ่งที่กงเซิ่งพูดออกมาแล้ว กลับเริ่มรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาหลายส่วน
ถ้าช่วงชิงพลังสายเลือดของอีกฝ่ายมาได้ แล้วผสานมันเข้ากับร่างกายภายในของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของตนเองแล้วล่ะก็…
เช่นนั้นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของนางก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้
“ตกลง! เอาแบบนี้ก็ได้!”
นางมองไปยังฉู่หลิวเยว่
“ฉู่เยว่ เจ้าตกลงหรือไม่?”
แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม ทว่ากลับไร้ซึ่งน้ำเสียงของการถามหาความเห็น
เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเขาไม่คิดจะปล่อยให้ฉู่หลิวเยว่ยอมปฏิเสธไปได้โดยง่าย
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วปรายตามองไปทางน้ำพุที่กำลังไหลรินดังโกรกกรากออกมาจากตาน้ำพุ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ได้ขอรับ เพียงแต่ว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
“ข้าอยากจะเพิ่มเดิมพันขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...