เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1146

เสียงนั่นทำเอาผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเงียบลงในบัดดล ทุกคนต่างก็มองฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าที่หลากหลาย

ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะสาวเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า

“ฉู่เยว่!”

หลัวซือซือรุดหน้าขึ้นไปห้ามนางด้วยสีหน้าวิตก

“ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไปกับเจ้าด้วย…”

“ซือซือ เจ้ามิรู้หรือว่าแม่นางผู้นั้นคือใคร?”

อิ่นฝานหัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาแฝงคำเตือนเอาไว้

“นั่นก็คือหลิ่วอินถง อันดับที่สี่สิบเก้าจากรายนามเซียนหมอทั้งหมดอย่างใดเล่า! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นจอมยุทธ์อันดับที่สี่สิบหกอีกด้วย! ไม่ใช่คนที่จะไปต่อกรด้วยง่าย! ส่วนเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาคนแรกสุดเมื่อครู่คือกงเซิ่ง…เป็นถึงจอมยุทธ์ที่ครองอันดับที่สามสิบเก้าเลยเชียว! ส่วนคนอื่นก็ล้วนมีพลังแกร่งกล้ามิอ่อนด้อย หาใช่บุคคลธรรมดาสามัญไม่ พวกเขา…พวกเราจักไปต่อกรกับพวกเขาไม่ได้!”

ภายในสำนักหลิงเซียวเอง รายนามอันดับเหล่านี้ย่อมเรียกได้ว่าโดดเด่นเกินใคร

ต้องเข้าใจก่อนว่าศิษย์ใหม่ที่สำนักรับเข้ามานั้นล้วนเป็นอัจฉริยะจากทั่วทุกหนทุกแห่งในใต้หล้า

สามารถเข้าสำนักหลิงเซียวมาได้ก็ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว ไหนจะบางคนที่แสดงพรสวรรค์ของตนออกมาได้ตั้งแต่อยู่ในสำนักอีก?

“แต่…”

“อันดับของศิษย์พี่หลัวเยี่ยนหลินดีกว่าของพวกเขาก็จริง แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าเวลาอยู่ในสำนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ก็ต้องจัดการแก้ด้วยตัวเอง”

อิ่นฝานพูดไปพลาง มองฉู่หลิวเยว่ไปพลางด้วยสายตาแฝงความนัยเอาไว้

หลัวซือซือคิดจะเอ่ยออกมาอีกสักคำรบหนึ่ง ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับส่งสายตาเป็นเชิงผ่อนคลายมาให้แล้วหัวเราะเสียงเบา

“วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างใดต่อ”

เอ่ยจบ นางก็ก้าวขาเรียวยาวของตนไปยังเบื้องหน้า

คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันมองดูฉากนี้

บนยอดเขาพลันเงียบสงบลงในชั่วขณะหนึ่ง

“เสี่ยวเฟิ่ง กลับมานี่”

หลิ่วอินถงตะโกนเรียกหาเจ้ากษายะหางวายุตัวนั้นคราหนึ่ง

เพียงแค่ได้ยินสุ้มเสียงที่ทะลุทะลวงอากาศมา เงาร่างสีแดงก็บินวกกลับเป็นเส้นโค้งกลางอากาศอย่างเร็วรี่

กษายะหางวายุตัวนั้นบินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วอินถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่บนร่างเองก็ค่อยๆ สลายไป

ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าก้าวขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนพวกนั้นโดยยืนห่างออกมาห้าก้าว

การยืนประจันหน้ากันของทั้งสองฝ่ายพาให้ดำดิ่งลงในบรรยากาศที่เปราะบางขนานหนึ่ง

สายตาของหลิ่วอินถงกวาดไปมองร่างของถวนจื่อก่อนเสียรอบหนึ่ง

ในตอนนั้นเอง การยืนประจันหน้าของทั้งสองฝ่ายนั้นใกล้กันอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมองเห็นสภาพของกันและกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้รวมถึงหลิ่วอินถง จึงล้วนมองเห็นถวนจื่อที่นอนขดตัวอยู่บนบ่าของฉู่หลิวเยว่กันทั่วถ้วน

สีชาดดุจดั่งเปลวเพลิงที่กำลังลุกโหมปะทุไหม้อยู่ก็มิปาน บนร่างกายของมันนั้นสวยสดบริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเจือปนโดยแท้ เห็นได้ชัดเลยว่างดงามยิ่งกว่ากษายะหางวายุของหลิ่วอินถงมากมายนัก

อีกทั้งยังพิสูจน์ได้ว่า พลังของสายเลือดในกายของมันนั้นหนาแน่นและบริสุทธิ์ยิ่งกว่า

หัวคิ้วของหลิ่วอินถงขมวดเข้าหากัน

นับตั้งแต่ที่นางได้ทำพันธสัญญากับกษายะหางวายุตัวนี้ นางก็ภูมิใจในเรื่องนี้มาโดยตลอด

เพราะว่ากันตามตรงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อยที่จะโชคดีแบบนี้

ใครจะไปรู้ว่าศิษย์ใหม่ที่ดูไม่มีอันใดดีที่เพิ่งได้ก้าวเข้าสำนักมาหมาดๆ เองก็มีกษายะหางวายุไว้ในครอบครองเช่นกัน!

แล้วยังดูดีกว่าเจ้าตัวนั้นของนางอีก!

ในใจของหลิ่วอินถงที่กำลังเบิกบานอยู่รู้สึกบัดซบขึ้นมาโดยพลัน

“ฉู่เยว่ขอคารวะศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลาย”

ฉู่หลิวเยว่ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ก้มคำนับคนเหล่านี้อย่างสุภาพ

ท่วงท่าคำนับมิได้ถ่อมตนแต่ก็ไม่แข็งกระด้าง สีหน้าเองก็ไร้แววประหม่าพรั่นใจ

“ที่แท้เจ้าก็คือฉู่เยว่นี่เอง”

สายตาของหลิ่วอินถงกวาดมองฉู่หลิวเยว่เป็นเชิงจับผิด ราวกับว่ากำลังตรวจดูสินค้าราคาต่ำอยู่ก็มิปานอย่างไม่คิดปิดบัง

ฉู่หลิวเยว่ทำประหนึ่งว่ามองไม่เห็นสายตาของนาง สีหน้ายังคงนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน

“ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานนัก คงต้องรบกวนศิษย์พี่ชายหญิงหลายท่านนี้ช่วยชี้แนะด้วย”

“ฮ่า! เจ้าหนูนี่รู้จักพูดซะจริง!”

กงเซิ่งที่อยู่ข้างกันนั้นโบกมือพลางกระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนอย่างเคย

“เจ้ากษายะหางวายุของเจ้าตัวนี้น่าสนใจไม่เบา! ปกติอาถงชอบอวดเจ้าตัวนั้นของนางอยู่บ่อยๆ มาวันนี้ก็บังเอิญได้เจอเข้าอีกตัวหนึ่ง มิเช่นนั้นลองให้มันสู้กันดูสักตั้ง เจ้าว่าอย่างใด?”

สีหน้าของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ศิษย์น้องมิบังอาจเทียบเคียง”

“เจ้าคิดจะเล่นพิเรนทร์อันใดอีกล่ะ?”

หลิ่วอินถงปรายตามองเขาอย่างเย็นชา

กงเซิ่งมิได้ใส่ใจในสายตาเช่นนั้นของนางเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยแกมหัวเราะต่อว่า

“คิดดูสิ พลังสายเลือดของเจ้ากษายะหางวายุตัวนี้ของเจ้าอ่อนด้อยกว่าของศิษย์น้องฉู่เยว่อยู่หน่อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเจ้าน่ะเหนือชั้นกว่าเขา ระดับพลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าสามารถใช้ได้ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าของเขาอยู่แล้ว”

“ดังนั้นแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือพวกเจ้าทั้งสองต่างก็มีจุดแข็งของตัวเอง ก็เลยพูดได้ยากว่าใครจะแพ้ชนะ ข้าว่า…ใช้โลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์สามหยดเป็นของเดิมพัน เจ้าว่าดีหรือไม่? ฝั่งไหนแพ้ก็ต้องส่งมอบโลหิตสามหยดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้อีกฝั่ง!”

ผู้คนที่อยู่โดยรอบพลันเงียบเสียงในบัดดล

แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง พวกเขาก็ล้วนรู้แจ้งแก่ใจดีว่าโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์สามหยดนี้หมายถึงสิ่งใด!

ภายในร่างกายของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกตัว สายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังสายเลือดไหลเวียนอยู่นั้นมีจำกัด!

การส่งมอบออกไปสามหยด ก็คือการให้พลังสายเลือดของตนแก่ฝั่งตรงข้ามไปแบบเปล่าๆ!

“หากว่าเป็นการแข่งขันแบบอื่น แข่งกันเช่นนี้ก็คงน่าเบื่อแย่ แต่ว่า…นี่เป็นกษายะหางวายุทั้งสองตัวเลยนะ!”

ในแววตาของกงเซิ่งทอประกายตื่นเต้นออกมา

เผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่นก็แปลว่าพวกมันสามารถกลืนกินพลังสายเลือดซึ่งกันและกันของอีกฝ่ายได้!

ความคิดของหลิ่วอินถงสั่นไหว

ในคราแรกนางยังคิดไปไม่ถึง ทว่ายามนี้เมื่อได้ฟังสิ่งที่กงเซิ่งพูดออกมาแล้ว กลับเริ่มรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาหลายส่วน

ถ้าช่วงชิงพลังสายเลือดของอีกฝ่ายมาได้ แล้วผสานมันเข้ากับร่างกายภายในของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของตนเองแล้วล่ะก็…

เช่นนั้นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของนางก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้

“ตกลง! เอาแบบนี้ก็ได้!”

นางมองไปยังฉู่หลิวเยว่

“ฉู่เยว่ เจ้าตกลงหรือไม่?”

แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม ทว่ากลับไร้ซึ่งน้ำเสียงของการถามหาความเห็น

เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเขาไม่คิดจะปล่อยให้ฉู่หลิวเยว่ยอมปฏิเสธไปได้โดยง่าย

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วปรายตามองไปทางน้ำพุที่กำลังไหลรินดังโกรกกรากออกมาจากตาน้ำพุ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“ได้ขอรับ เพียงแต่ว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”

“ข้าอยากจะเพิ่มเดิมพันขอรับ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์