ในขณะเดียวกันนั้น ร่างกายของถวนจื่อเองก็เกิดเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน
เปลวเพลิงที่ทวีความร้อนแรงขึ้นแผดเผาขึ้นมาโดยพลัน!
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถวนจื่อดูจะตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายประมาณหนึ่ง
“หึ”
หลิ่วอินถงที่จับตามองดูฉากนี้อยู่อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะ บนดวงหน้าของนางปรากฏสีหน้ามั่นใจจากเตรียมการมาอย่างดีพร้อม
ปริมาณของพละกำลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญา สามารถใช้ออกมาได้กับระดับและพลังของเจ้านายมีความเกี่ยวพันกันอย่างเหนียวแน่น
ต่อให้สายเลือดของกษายะหางวายุตัวนี้จะบริสุทธิ์เพียงใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเจ้านายของมันเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดไปได้!
ช่องว่างระหว่างพวกนางในครานี้ ย่อมไร้หนทางชดเชยแต่แรกแล้ว!
“จบเรื่องได้แล้ว!”
เมื่อหลิ่วอินถงออกคำสั่ง กษายะหางวายุตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาหาถวนจื่อทันที!
รูปร่างภายนอกของมันเหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
แรงกดดันมหาศาลอันน่าหวาดหวั่นพลันกดทับลงมา!
ปีกทั้งสองของถวนจื่อสั่นระริก ในตอนที่กำลังจะบินขึ้น มันกลับพบว่าพื้นที่ว่างโดยรอบพลันผิดแปลกขึ้นอยู่หลายส่วน!
ทั่วทุกสารทิศพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในบัดดล ประหนึ่งว่ามันกำลังจมลงไปในโคลนตม กระทั่งพยายามดิ้นรนยังเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะทำไหว
“นี่มันอาณาเขตเซียนเทพนี่!”
เสียงร้องอย่างตื่นตกใจดังมาจากทางกลุ่มคน
อาณาเขตเซียนเทพของอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่างจากของเผ่ามนุษย์ที่ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากจนบรรลุไปถึงระดับผู้แข็งแกร่งระดับเทพเสียก่อน จึงจะสามารถกางอาณาเขตเซียนเทพของตนขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น หลังจากที่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมา ก็มักจะมีพรสวรรค์นี้ติดตัวกันอยู่แล้ว
ขอเพียงรอจนโตเต็มวัย ก็จะสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพของตนออกมาได้ตามปกติ
และในครานี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากษายะหางวายุตัวนั้น คิดจะใช้สิ่งนี้เพื่อสังหารกันซึ่งหน้า!
“ได้ยินมาว่าหากพลังของผู้ทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์มีไม่มากพอ มันจะส่งผลกระทบต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ทำให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถใช้พลังสายเลือดออกมาได้ทั้งหมด…ดูจากครานี้แล้ว เห็นทีจะมิใช่เรื่องโกหก!”
“กษายะหางวายุตัวนั้นของฉู่เยว่ดูท่าจะยังโตไม่เต็มที่ แข่งครั้งนี้คงจะพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย!”
“หลิ่วอินถงเองก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพมาตั้งนานแล้ว แม้ว่าพลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของนางใช้ได้จะยังมีจำกัด แต่ว่าเอามาใช้จัดการฉู่เยว่แค่นี้ก็พอเสียยิ่งกว่าพอแล้วกระมัง?”
กลุ่มคนพากันกระซิบกระซาบอย่างกระวนกระวายใจ แต่ละคนต่างคิดเห็นตรงกันในเรื่องผลการแข่งขันของการแข่งครานี้
และในตอนนั้นเอง กรงเล็บอันคมกริบของกษายะหางวายุตัวนั้นก็ตวัดไปทางดวงตาของถวนจื่อ!
ราวกับว่าต้องการควักลูกตาของถวนจื่อออกมาในพริบตา!
แววตาของถวนจื่อโหมไปด้วยเพลิงโทสะ!
“ช่างมารดามันเถอะ” ทั้งที่มันไม่ได้รู้ถึงเศษเสี้ยวของความแข็งแกร่งเลย แต่ยังคิดเองเออเองอีกไปว่าตัวเองน่ะยิ่งใหญ่เทียมฟ้า!
ตูม!
ชั่วพริบตาเดียวนั้น ในตอนที่ทุกคนกำลังจับจ้องฉากตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงอยู่นั่นเอง ร่างของ
ถวนจื่อพลันระเบิดกระแสคลื่นพลังอันน่าหวาดผวาสายหนึ่งออกมา!
แกร๊ก!
ท่ามกลางความว่างเปล่า ราวกับว่ามีบางอย่างทยอยแตกออกมา!
นัยน์ตาของกษายะหางวายุตัวนั้นปรากฏแววความตกตะลึงวาบผ่าน
ทว่าแววความตกตะลึงนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว!
มันแทบจะพาร่างของตนหลบเลี่ยงและถอยหลังออกมาอย่างไม่เสียเวลาคิด!
“เสี่ยวเฟิ่ง!?”
หลิ่วอินถงมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
เมื่อครู่ยังสภาพดีอยู่เลยมิใช่หรือไรกัน เหตุใดพริบตาเดียวถึงกลับตาลปัตรมาเป็นเช่นนี้ได้?
กระทั่งความรู้สึกหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจของตน นางก็สัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
ครู่ต่อมา หลิ่วอินถงก็ได้เข้าใจโดยพลันถึงสาเหตุที่ทำให้นางมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนั้น
“ปัง ปัง ปัง”!
สุ้มเสียงที่ดังเป็นจังหวะพลันแว่วมา!
อาณาเขตเซียนเทพที่กษายะหางวายุใช้ในตอนแรก ได้พังทลายกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าทีละน้อย ทีละน้อย!
รอยร้าวที่แยกออกเป็นช่องว่างสีดำสนิทสายหนึ่งแผ่ขยายออกไป ยามมองดูจากที่ไกลๆ แล้วก็แลดูเหมือนกับแผ่นดินผืนใหญ่ที่แตกระแหง มองดูแล้วในใจรู้สึกหวาดผวายิ่ง!
ประหนึ่งว่ามีแรงกดดันมหาศาลที่หนักอึ้งยิ่งกว่าขจัดมันออกไปเสียสิ้นพลางแล่นปราดขึ้นมาอย่างมิย่อท้อ!
หลิ่วอินถงพลันเบิกตากว้าง!
สีหน้าของกงเซิ่งที่อยู่ข้างกันนั้นเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แขนที่เดิมกอดอกอยู่คลายออกอย่างไม่รู้ตัวพลางมองไปยังภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงและอับจนคำพูด เขาแทบจะคิดว่าตัวเองมองผิดไปแล้วด้วยซ้ำ!
อาการตอบสนองของคนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างไปจากนี้มากนัก
และทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะ…ถวนจื่อเองก็ได้กางอาณาเขตเซียนเทพของตนเช่นกัน!
แม้ว่าขอบเขตของมันจะเล็กมากนัก ทว่าด้วยขนาดที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมทั้งหมดเช่นนี้ ก็สามารถบดขยี้กษายะหางวายุของหลิ่วอินถงได้อย่างง่ายดาย!
“นี่มัน เป็นไปได้อย่างใดกัน!?”
กงเซิ่งพ่นลมหายใจหนาวยะเยือกออกมาพลางพึมพำเสียงต่ำ
หลิ่วอินถงรีบเรียกสติกลับมาโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยเสียงแหลมออกไป
“นี่เจ้ามัวแต่ทำอันใดอยู่!? เอาชนะมันซะสิ!”
ถ้าหากว่าแพ้ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะก็…
เมื่อกษายะหางวายุตัวนั้นได้ยินคำสั่ง ในดวงตาก็ปรากฏแววคิดดิ้นรนขึ้นมา
ทว่ามิรอให้มันได้เตรียมตัวดี กรงเล็บของถวนจื่อก็ตวัดฟาดลงมาอย่างไร้ปรานี!
เจ้าเป็นบ้านักใช่หรือไม่!
อวดดีนักหรือ!
เจ้าตัวบัดซบหน้าไม่อายเยี่ยงเจ้า กับพลังสายเลือดกระจอกงอกง่อยเช่นนั้น ยังมีหน้ามาคิดเอาชนะข้าอีกอย่างนั้นหรือ!?
ฉัวะ…แกร๊ก!
เสียงถอนขน ฉีกกระชากเนื้อหนัง หักกระดูกผสมปนเปกันไป ทำเอาคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา!
โลหิตสดๆ สาดกระจายไปทั่ว!
คนจำนวนไม่น้อยพากันขนหัวลุกซู่
นี่ นี่มัน…
ถ้าปล่อยให้ลงมือต่อไป เกรงว่ากษายะหางวายุตัวนั้นจะถูกตีจนพิการไปเสียกระมัง!?
หลิ่วอินถงเองก็รู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี
ในใจของนางทั้งตื่นตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว จะอย่างใดก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองที่ตนคอยเฝ้าดูประคบประหงมอย่างดีดั่งสมบัติล้ำค่า จะมาถูกจัดการเสียแบบนี้!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทั่วทั้งร่างของนางเริ่มสั่นระริกเล็กน้อย ขอบตาเองก็แดงก่ำ
ในช่วงเวลานั้น ต่อให้นางยืนกรานไม่คิดจะยอมรับ แต่ก็รู้ภาพรวมอยู่แก่ใจว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของนางมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นจะกลายเป็นเนื้อบนเขียงให้คนอื่นเขาสับเอาเสียเปล่าๆ!
ถวนจื่อทำประหนึ่งว่าฟังไม่ได้ยินก็มิปาน มันยังคงทิ้งบาดแผลนานารูปแบบไว้บนร่างของกษายะหางวายุตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง!
หลิ่วอินถงหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่อย่างเปิดเผย ก่อนจะตะโกนออกไปด้วยท่าทีที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็ง
“เจ้ายังไม่บอกให้มันหยุดมืออีก!?”
ฉู่หลิวเยว่จึงเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน
ทว่ากลับมิได้เอ่ยบอกให้ถวนจื่อหยุดตามคำร้องของนาง
นางปรายตามองไปยังหลิ่วอินถง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าศิษย์พี่หลิ่วยอมแพ้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...