ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 115

“สัตว์อสูรคลุ้มคลั่งหรือ” ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้ามึนงง

“เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้ด้วยหรือ ในช่วงปลายเดือนแปดของทุกปีก็จะมีสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งพากันออกมาปรากฏตัวแข่งกันที่เทือกเขาวั่นหลิงนับไม่ถ้วน ซึ่งในนั้นมีแต่สัตว์อสูรระดับกลาง หากโชคดีก็จะมีสัตว์อสูรระดับสูงออกมาปรากฏตัวด้วยนะ! นี่ถือเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ในการล่าสัตว์อสูร โดยมีผู้อาวุโสพากลุ่มในสำนักไปทุกปี แล้วพวกเราก็สามารถจับกลุ่มได้อย่างอิสระ หลังจากเข้าเขตเทือกเขาวั่นหลิงแล้ว ทุกคนก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ระดับของสัตว์อสูรที่สามารถล่ามาได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้วล่ะนะ”

มู่หงอวี๋อธิบายยาวเหยียด

ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที

ดูเหมือนเจ้าของร่างเดิมจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลือนรางยิ่งนัก เพราะเมื่อปีที่แล้วในเทศกาลล่าสัตว์อสูรคลุ้มคลั่ง รัชทายาทหรงจิ้นสามารถล่าเสือดาวเนตรมังกรไฟซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับที่สี่ไปได้

เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป จึงทำให้หรงจิ้นมีชื่อเสียงในทันที

ทุกคนรู้ว่าองค์ชารัชทายาทมีพลังแข็งแกร่ง แม้กระทั่งสามารถล่าสัตว์อสูรที่ดุร้ายด้วยตนเองได้

ต้องทราบด้วยว่า สัตว์อสูรระดับที่หนึ่งถึงสามถึงจะเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ ส่วนระดับที่สี่ถึงหกเป็นระดับกลาง และสูงขึ้นไปกว่านี้จนถึงระดับเก้านั้นก็แทบจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงในตำนาน

แม้ว่าสัตว์อสูรระดับสี่จะสูงกว่าระดับสามเพียงระดับเดียวเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วกลับมีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว!

แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฉู่หลิวเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝน นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก

แล้วที่มู่หงอวี๋มาพูดเรื่องนี้กับนาง…

“เจ้าคิดที่จะรวมกลุ่มกับข้าอย่างนั้นหรือ” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม

“ก็ใช่น่ะสิ!”

มู่หงอวี๋ไม่คิดปิดบังแล้วพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย

“เจ้าสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้ที่หนึ่งและยังเป็นปรมาจารย์อีกด้วย นับว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในรุ่นเราแล้ว ไม่จับกลุ่มกับเจ้าแล้วจะให้ไปอยู่กับใคร แต่เจ้าสบายใจได้ ข้าจะไม่ถ่วงความเจริญเจ้าแน่นอน อีกครึ่งเดือน ข้าก็น่าจะบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่แล้วล่ะ!”

ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

เพราะตอนสอบกลางภาคครั้งก่อน มู่หงอวี๋แพ้ให้กับกู้หมิงเฟิงแล้วคว้าอันดับสามไปได้

ความสามารถระดับนี้ ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน

“ก็เอาสิ เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเราค่อยร่วมมือกัน”

มู่หงอวี๋กระตือรือร้นเป็นฝ่ายเชิญชวนขนาดนี้ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ฉู่หลิวเยว่ตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นนี้กลับทำให้มู่หงอวี๋แปลกใจเล็กน้อย

“นี่เจ้า เจ้าตกปากรับคำแล้วหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”

“เปล่า แต่ว่า…ที่ผ่านมาพวกปรมาจารย์ค่อนข้างดูถูกพวกเราที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ พวกเราก็ไม่ชอบหน้าพวกเขาเหมือนกันก็เลยจับกลุ่มอยู่ด้วยกันแทบจะนับครั้งได้ ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นพวกปรมาจารย์แล้ว เจ้ามาอยู่กลุ่มเดียวกันกับข้าแบบนี้ พวกเขาจะไม่ว่าเจ้าเอาหรือ” มู่หงอวี๋ถามอย่างลังเล

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะแห้งๆ

เรื่องแบบนี้ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้

ในโลกแห่งผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ จะไปสนใจสิ่งเหล่านี้ทำไม

“ไม่มีปัญหา”

มู่หงอวี๋เห็นท่าทางทะนงองอาจของนางเช่นนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดวงตาเป็นประกาย

“เยี่ยมไปเลย! ตกลงกันตามนี้นะ! อ้อ ถ้าเจ้าอยากร่วมกลุ่มกับคนอื่น เจ้าก็สามารถลากพวกเขาเข้ามาอยู่ด้วยกันก็ได้ ห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม พวกเรายังขาดอีกตั้งสามคนแหน่ะ!”

ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“เจ้าตัดสินใจเองเถิด”

นางไม่คุ้นเคยกับคนในสำนักนี้ ฉะนั้นปล่อยให้มู่หงอวี๋จัดการจะดีกว่า

เมื่อมู่หงอวี๋ได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ไว้ใจนางมาก นางยิ่งมองฉู่หลิวเยว่ในแง่ดีมากกว่าเดิม

“ได้!”

วันนี้ตอนบ่ายฉู่หลิวเยว่มีวิชาเรียนฝึกสมาธิ ตอนที่นางไปถึงก็เห็นกู้หมิงจูยืนดักอยู่ตรงหน้าประตูพอดี

เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา กู้หมิงจูก็ชักสีหน้าใส่ทันที

ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน

“คุณหนูรองกู้ วันนี้เจ้าเอาแผนที่ค่ายกลสองอันนั้นมาแล้วหรือ”

กู้หมิงจูล้วงเอาแผนที่ค่ายกลสองอันนั้นออกมาจากแขนเสื้อโยนใส่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“มู่หงอวี๋”

ซือหยางตกตะลึงแล้วรู้สึกเหมือนอกหัก

“มู่หงอวี๋ แม่พริกขี้หนูนั่นน่ะหรือ เจ้าไม่ได้พูดผิดใช่ไหม เจ้า ข้า แล้วยังมีพี่ใหญ่ของจ้า พวกเราสามคนคือปรมาจารย์สามอันดับแรก นั่นก็ไม่มีใครเทียบได้อยู่แล้ว ทำไมเจ้าต้องไปอยู่กับนางด้วยเล่า อีกอย่าง…นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์นะ!”

“ข้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกันนี่” ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขา “มีกฎข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ผู้ฝึกยุทธ์รวมกลุ่มกับปรมาจารย์บ้างล่ะ”

ซือหยางพูดไม่ออก

“มันก็ไม่มีหรอก แต่ว่า…”

อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดี แต่กลับมีแมวมาขโมยปลาย่างไปได้เสียนี่!

“ตอนนี้ข้ารวบรวมมาได้สี่คนแล้ว แต่เหลือเจ้าคนเดียว ถ้าเจ้าไม่มาอยู่ด้วยกันแล้วข้าจะทำอย่างไร”

เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็ลอบส่ายหน้าในใจ

ถ้ามีแค่ซือถิงและซือหยาง นางยังพอจะมีทางไปคุยกับมู่หงอวี๋ให้ได้ แต่คราวนี้มีด้วยกันถึงสี่คนก็จะมีปัญหาได้

อีกอย่างนางไม่ค่อยอยากไปยุ่งเกี่ยวกับซือถิงมากเท่าไหร่นัก ฉะนั้นเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

“ข้ารับปากกับมู่หงอวี๋เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่อาจคืนคำได้ ข้าขอโทษด้วยนะ”

หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พูดจบ นางก็หยิบกระดานหมากรุกออกมาวาง เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก

ซือหยางมองซือถิงด้วยความท้อใจ

แทว่าสีหน้าของซือถิงกลับแน่นิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราค่อยหาคนใหม่ก็ได้”

ซือหยางถอนหายใจ

เขามองออกว่าพี่ใหญ่ของเขามีความรู้สึกดีๆ ต่อฉู่หลิวเยว่ คราแรกเขากะจะใช้โอกาสเทศกาลล่าสัตว์อสูรนี้ให้พี่ใหญ่ได้ใกล้ชิดกับนาง ช่างน่าเสียดาย…

“ซือถิง ข้าเข้าร่วมกับพวกเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่มีกลุ่มเลย”

กู้หมิงจูลอบฟังบาสนทนาเมื่อครู่นี้มาตลอด เมื่อเห็นโอกาสนางจึงรีบคว้าทันที ขณะเดียวกันนางก็มองซือถิงพร้อมกับกอดความหวังเอาไว้เต็มอก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์