“สัตว์อสูรคลุ้มคลั่งหรือ” ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้ามึนงง
“เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้ด้วยหรือ ในช่วงปลายเดือนแปดของทุกปีก็จะมีสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งพากันออกมาปรากฏตัวแข่งกันที่เทือกเขาวั่นหลิงนับไม่ถ้วน ซึ่งในนั้นมีแต่สัตว์อสูรระดับกลาง หากโชคดีก็จะมีสัตว์อสูรระดับสูงออกมาปรากฏตัวด้วยนะ! นี่ถือเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ในการล่าสัตว์อสูร โดยมีผู้อาวุโสพากลุ่มในสำนักไปทุกปี แล้วพวกเราก็สามารถจับกลุ่มได้อย่างอิสระ หลังจากเข้าเขตเทือกเขาวั่นหลิงแล้ว ทุกคนก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ระดับของสัตว์อสูรที่สามารถล่ามาได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้วล่ะนะ”
มู่หงอวี๋อธิบายยาวเหยียด
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที
ดูเหมือนเจ้าของร่างเดิมจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลือนรางยิ่งนัก เพราะเมื่อปีที่แล้วในเทศกาลล่าสัตว์อสูรคลุ้มคลั่ง รัชทายาทหรงจิ้นสามารถล่าเสือดาวเนตรมังกรไฟซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับที่สี่ไปได้
เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป จึงทำให้หรงจิ้นมีชื่อเสียงในทันที
ทุกคนรู้ว่าองค์ชารัชทายาทมีพลังแข็งแกร่ง แม้กระทั่งสามารถล่าสัตว์อสูรที่ดุร้ายด้วยตนเองได้
ต้องทราบด้วยว่า สัตว์อสูรระดับที่หนึ่งถึงสามถึงจะเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ ส่วนระดับที่สี่ถึงหกเป็นระดับกลาง และสูงขึ้นไปกว่านี้จนถึงระดับเก้านั้นก็แทบจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงในตำนาน
แม้ว่าสัตว์อสูรระดับสี่จะสูงกว่าระดับสามเพียงระดับเดียวเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วกลับมีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว!
แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฉู่หลิวเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝน นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก
แล้วที่มู่หงอวี๋มาพูดเรื่องนี้กับนาง…
“เจ้าคิดที่จะรวมกลุ่มกับข้าอย่างนั้นหรือ” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“ก็ใช่น่ะสิ!”
มู่หงอวี๋ไม่คิดปิดบังแล้วพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย
“เจ้าสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้ที่หนึ่งและยังเป็นปรมาจารย์อีกด้วย นับว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในรุ่นเราแล้ว ไม่จับกลุ่มกับเจ้าแล้วจะให้ไปอยู่กับใคร แต่เจ้าสบายใจได้ ข้าจะไม่ถ่วงความเจริญเจ้าแน่นอน อีกครึ่งเดือน ข้าก็น่าจะบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่แล้วล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
เพราะตอนสอบกลางภาคครั้งก่อน มู่หงอวี๋แพ้ให้กับกู้หมิงเฟิงแล้วคว้าอันดับสามไปได้
ความสามารถระดับนี้ ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
“ก็เอาสิ เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเราค่อยร่วมมือกัน”
มู่หงอวี๋กระตือรือร้นเป็นฝ่ายเชิญชวนขนาดนี้ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
ฉู่หลิวเยว่ตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นนี้กลับทำให้มู่หงอวี๋แปลกใจเล็กน้อย
“นี่เจ้า เจ้าตกปากรับคำแล้วหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”
“เปล่า แต่ว่า…ที่ผ่านมาพวกปรมาจารย์ค่อนข้างดูถูกพวกเราที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ พวกเราก็ไม่ชอบหน้าพวกเขาเหมือนกันก็เลยจับกลุ่มอยู่ด้วยกันแทบจะนับครั้งได้ ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นพวกปรมาจารย์แล้ว เจ้ามาอยู่กลุ่มเดียวกันกับข้าแบบนี้ พวกเขาจะไม่ว่าเจ้าเอาหรือ” มู่หงอวี๋ถามอย่างลังเล
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะแห้งๆ
เรื่องแบบนี้ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้
ในโลกแห่งผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ จะไปสนใจสิ่งเหล่านี้ทำไม
“ไม่มีปัญหา”
มู่หงอวี๋เห็นท่าทางทะนงองอาจของนางเช่นนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดวงตาเป็นประกาย
“เยี่ยมไปเลย! ตกลงกันตามนี้นะ! อ้อ ถ้าเจ้าอยากร่วมกลุ่มกับคนอื่น เจ้าก็สามารถลากพวกเขาเข้ามาอยู่ด้วยกันก็ได้ ห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม พวกเรายังขาดอีกตั้งสามคนแหน่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
นางไม่คุ้นเคยกับคนในสำนักนี้ ฉะนั้นปล่อยให้มู่หงอวี๋จัดการจะดีกว่า
เมื่อมู่หงอวี๋ได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ไว้ใจนางมาก นางยิ่งมองฉู่หลิวเยว่ในแง่ดีมากกว่าเดิม
“ได้!”
…
วันนี้ตอนบ่ายฉู่หลิวเยว่มีวิชาเรียนฝึกสมาธิ ตอนที่นางไปถึงก็เห็นกู้หมิงจูยืนดักอยู่ตรงหน้าประตูพอดี
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา กู้หมิงจูก็ชักสีหน้าใส่ทันที
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
“คุณหนูรองกู้ วันนี้เจ้าเอาแผนที่ค่ายกลสองอันนั้นมาแล้วหรือ”
กู้หมิงจูล้วงเอาแผนที่ค่ายกลสองอันนั้นออกมาจากแขนเสื้อโยนใส่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์