เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1150

“ที่รับปากเจ้าไว้ ข้าย่อมทำตามที่พูด!”

หลิ่วอินถงตวาดออกมาอย่างทนไม่ไหวในท้ายที่สุด

บรรดาผู้คนต่างก็เงียบกริบโดยพลัน

คนจำนวนไม่น้อยต่างก็มองไปทางฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

ครั้งนี้…ถือได้ว่าเขาไปล่วงเกินหลิ่วอินถงเข้าโดยสมบูรณ์แบบ!

ภายในสำนักนี้น่ะ หากไปล่วงเกินกลุ่มเล็กๆ ของพวกเขาเข้า ผลที่ตามมาในภายหลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงหลายเท่าได้ก็สุดจะรู้!

ขอเพียงพวกเขาต้องการ เพียงใช้สมองนิดวางแผนการหน่อย ก็สามารถทำให้ฉู่เยว่ผู้เป็นศิษย์ใหม่ไร้พื้นเพใดๆ และใช้ชีวิตอยู่ในสำนักได้ยากแล้ว!

ต่อให้ท่านอาจารย์ของเขาคือผู้อาวุโสวั่นเจิง ก็ไม่มีทางควบคุมคลื่นใต้น้ำอันเงียบเชียบระหว่างศิษย์ด้วยกันเองได้ทั้งหมด

เจ้าเด็กนี่…ช่างน่าเวทนานัก!

ทว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับมิได้เฉลียวใจถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วอินถงดังนั้น เขาก็คลายปมคิ้วพลางคลี่ยิ้มบางเบา

“ศิษย์พี่หลิ่วเป็นผู้น่านับถือ ศิษย์น้องย่อมเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาขอรับ”

ทั่วทั้งสี่ทิศเงียบกริบไปครู่หนึ่ง

ทุกคนต่างก็จินตนาการไปถึงกระทั่งฉากชีวิตในสำนักอันยากลำบากของเขาเป็นที่เรียบร้อย

“เฮอะ สมแล้วที่ศิษย์น้องฉู่เยว่เข้าตาผู้อาวุโสวั่นเจิงได้ ช่างยอดเยี่ยมโดยแท้…”

รอยยิ้มบนดวงหน้าของกงเซิ่งจางหายไปไม่น้อย ทั้งหางตาและหัวคิ้วของเขาต่างก็ปกปิดแววเย็นชาแลมืดครื้มเอาไว้ไม่อยู่

หากเป็นผู้อื่นที่ถูกเขาจับจ้องด้วยสายตาเช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกหวาดกลัวจนอยู่ไม่สุข

ทว่าไม่ใช่กับฉู่หลิวเยว่

นางตอบกลับไปอย่างสุขุมว่า

“ขอบคุณศิษย์พี่กงเซิ่งที่เอ่ยชม ศิษย์น้องยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่รู้ ต้องคอยศึกษาจากพวกท่านอีกมากขอรับ”

กระทั่งกงเซิ่งที่คุ้นชินกับการกระทำตัวยโสโอหังไม่ไว้หน้าผู้ใด มาบัดนี้เองก็อับจนคำพูดเช่นกัน

ในอกของเขาหายใจติดขัด เพลิงโทสะเองก็ยิ่งพวยพุ่งขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาหัวเราะเสียงเย็นเยียบ

“ประเสริฐ! ประเสริฐ! ศิษย์น้องฉู่เยว่ เจ้า… ช่างประเสริฐนัก!”

เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้าไปหยุดอยู่ข้างกายของหลิ่วอินถงอย่างรวดเร็ว

“อาถง กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าตัวเล็กนั่นก่อนเถอะ ส่วนเรื่องอื่น…ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

หลิ่วอินถงผงกศีรษะรับ

เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวดใจเช่นนี้ อารมณ์ผ่อนคลายเบิกบานใจก็สลายหายไปไม่มีเหลือ

คนเหล่านั้นต่างก็พากันหมุนกายจากไป

คนที่อยู่ข้างล่างต่างก็กุลีกุจอหลีกเป็นทางกว้างพอให้เดินผ่านไปได้

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว กงเซิ่งก็พลันหันศีรษะกลับมา สายตาเย็นยะเยือกจ้องเขม็งมายังฉู่หลิวเยว่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาคำต่อคำว่า

“ศิษย์น้องฉู่เยว่ วันหน้าหากมีโอกาส พวกเราก็มาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยเถิด! พอถึงเวลานั้นก็ขอให้พวกเราได้ช่วยเพิ่มพูน…ทักษะของเจ้าทีเถอะ”

พูดจบ พวกเขาก็เดินจากไปโดยไม่หยุดลงอีกในท้ายที่สุด เงาร่างของคนเหล่านั้นหายลับเข้าไปในป่ารกทึบอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศบนยอดเขาดูเฉื่อยชาลงอย่างมาก เนิ่นนานทีเดียวที่ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดออกมา

ใครก็คาดไม่ถึงกันทั้งนั้นว่าเรื่องจะดำเนินไปจนถึงขั้นนี้ได้…

“ฉู่เยว่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

หลัวซือซือก้าวเดินขึ้นไปข้างหน้า สีหน้าของนางวิตกกังวลยิ่ง

ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มบาง

“นี่ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ จะเป็นอันใดไปได้เล่า?”

“อวดดีนัก!”

“เจ้าคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมมากเลยหรือที่ชนะการแข่งวันนี้ได้? วิเศษมากอย่างนั้นหรือ? สรุปแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าไปล่วงเกินเข้าน่ะเป็นคนแบบไหน! หลังจากนี้…เจ้าก็เตรียมรับผลเอาไว้ดีๆ แล้วกัน!”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว

“เช่นนั้นแล้วข้าต้องทำอย่างใดจึงจะไม่เป็นการล่วงเกินพวกเขา? บอกให้ถวนจื่อยอมแพ้แล้วยอมประเคนโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้น่ะหรือ?”

อิ่นฝานแทบสำลัก

ไม่ว่าจะใครก็ตาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้โดยไร้ซึ่งความบาดหมางข้องใจ

นี่ไม่เพียงเป็นการปล้นชิงของจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง แต่ยังเป็นการทำให้เจ้านายของมันเสื่อมเสียเกียรติอีกด้วย!

“ช่างเถอะ อย่างใดเสียเรื่องก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมันเถอะ!”

หลัวเยี่ยนหมิงก้าวขึ้นมาพลางเอ่ยปลอบใจ

“เรื่องนี้เดิมก็เป็นพวกเขาที่ไม่มีเหตุผลมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็ยังไม่สามารถทำอันใดเจ้าได้ด้วย”

“ไร้เดียงสาสิ้นดี!”

อิ่นฝานแค่นเสียงเย็นเยียบในลำคอ

พวกหลัวซือซือต่างก็ไม่คิดให้ความสนใจอิ่นฝานอีก

ในตอนนั้นพวกเขาเองก็ดูออกว่าอิ่นฝานไม่ยอมรับในตัวของฉู่เยว่

แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักอิ่นฝานมานานแล้ว ทว่าเหตุการณ์นี้ก็ทำให้มองเห็นถึงปัญหามากมาย

หากเทียบกันแล้ว พวกเขาใคร่จะยืนอยู่ฝั่งฉู่เยว่มากกว่า

เวลาเดินผ่านไปชั่วครู่

หลัวเยี่ยนหมิงชายตาไปมองตาน้ำพุอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง

“เหตุใดมันถึงยังดื่มไม่พอสักทีละนั่น ไม่ใช่ว่าคิดจะกินนอนอยู่ที่นี่เลยหรอกนะ?”

ตั้งแต่การประลองจบจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มันก็ยังคงรั้งรออยู่ตรงนั้น อีกนิดก็จะทำเอาตัวเองเปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว

ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นนวดขมับของตน

ดูจากสภาพของถวนจื่อในตอนนี้แล้ว พลังที่กักเก็บอยู่ในตาน้ำพุนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าส่งประสิทธิภาพต่อมันจริงๆ

บาดแผลที่รับมาเมื่อครู่ตอนนี้ก็ได้รับการฟื้นฟูจนหายดีแล้ว

แน่นอนว่าเหล่านี้เองก็ต้องให้ความดีความชอบแก่โลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์สามหยดนั้นไม่น้อยเช่นกัน

ถ้าหากว่ารั้งรออยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าพลังสายเลือดของมันอาจจะถูกกระตุ้นขึ้นมาได้เร็วยิ่งขึ้นจริงๆ!

“จะถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องไปกันแล้วละ”

หลัวซือซือเหลือบตามองผืนฟ้าพลางกล่าวเตือน

ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเรียกถวนจื่อคราหนึ่ง

ถวนจื่อจึงต้องจำใจจากตาน้ำพุมาอย่างเสียไม่ได้ เดินออกก้าวหนึ่งก็หันไปมองเสียสามรอบ

กว่าจะรอมันพิรี้พิไรกลับมาถึงตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่ได้ก็ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าประหม่าและเร่งรีบของแต่ละคน ฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยขึ้นมา

“พวกเราไปกันเถอะ!”

หากว่าลงเขาไปตอนนี้ก็น่าจะยังไปทัน…

ครืน!

เสียงดังลั่นจนพาให้สั่นสะเทือนไปทั่วพลันปะทุขึ้นสู่ผืนฟ้าเหนือเขาหมื่นเมรัย!

พวกฉู่หลิวเยว่ต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบพากันเงยหน้าขึ้นมอง!

พวกเขาพลันเห็นว่าเหนือผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มยามค่ำคืนนั้น หลังจากที่ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเคลื่อนตัวเข้าหลบซ่อนหลังกลุ่มเมฆดำก้อนใหญ่ไป สายอัสนีบาตสีเงินดุจดั่งมังกรลอยตระหง่านสายหนึ่งกำลังรวมตัวเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง!

“มีคนกำลังอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์หลอมอาวุธ!”

หลัวเยี่ยนหมิงมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจพลางตะโกนออกมาคำรบหนึ่ง!

“รีบไปเร็วเข้า!”

หากว่ามันกระจายไปทั่วล่ะก็ เราอาจจะโดนลูกหลงด้วยก็เป็นได้!

ระหว่างที่พูดนั่นเอง ทัณฑ์สวรรค์สายนั้นก็พลันฟาดลงมา ก่อนจะผ่าลงไปทางกลุ่มคนที่ยังคงอยู่บนยอดเขาหมื่นเมรัยเข้าอย่างจัง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์