เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1171

ทั้งสองคนที่อยู่ในสนามจมดิ่งลงสู่ความเงียบสงบ

เพียงแต่ คนหนึ่งมีสีหน้าเฉยเมย ส่วนอีกคนมีใบหน้าบิดเบี้ยว

หลิ่วจื่ออันอ้าปากค้าง จ้องมายังฉู่หลิวเยว่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อปนหวาดกลัว

“เจ้า…”

จอมยุทธ์ระดับเจ็ด เหตุใดจึงมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่น่าสะพรึงเช่นนี้! ?

หลังจากปล่อยหมัดนี้ เขาคิดว่าตนจะสามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ได้แล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำกระดูกมือของตนหักเสียก่อน!

ความเจ็บปวดรุนแรงจากมือผุดขึ้น ทำให้ภาพเบื้องหน้าเขาแทบจะพร่ามัว!

โดยสัญชาตญาณ เขาอยากจะถอนกำปั้นกลับมาในทันที

แต่ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามกลับยกยิ้มมุมปาก

รอยยิ้มนั้นดูไม่แยแสและเยือกเย็นที่สุด

หลิ่วจื่ออันตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด ขนทั่วเรือนร่างพากันลุกชัน!

เขารีบถอยกลับทันควันโดยแทบไม่ได้คิดด้วยซ้ำ!

แต่กระนั้น…มันก็สายไปเสียแล้ว!

ฉู่หลิวเยว่เป็นผู้แรกเริ่มที่เปลี่ยนกำปั้นเป็นฝ่ามือ นางบีบข้อมือของเขาแน่น ก่อนจะหักขึ้นข้างบนอย่างแรง!

แกร๊บ!

เสียงกระดูกหักที่ชวนให้รู้สึกหวาดเสียวดังลอยมาอีกครั้ง!

“อ๊าก…”

ในที่สุดหลิ่วจื่ออันก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป จำต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเขาไหลลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

ครั้นเห็นว่ามือของเขาถูกบังคับให้แสดงท่าทางประหลาด ฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่นั้นต่างก็พากันอกสั่นขวัญหาย

อันที่จริงฉากนองเลือดยิ่งกว่านี้พวกเขาก็เคยเห็นมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นคือ ใบหน้าไร้อารมณ์อันเยือกเย็นของเด็กหนุ่มในจัตุรัสขณะกำลังทำสิ่งเหล่านี้ต่างหาก

แม้แต่มุมปากของเขา ยังกอบกุมไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่แยแส

ประหนึ่งกับว่าการหักกระดูกข้อมือคนคนหนึ่งด้วยวิธีนี้ ไม่ต่างอันใดจากการหักท่อนไม้ในความคิดของเขา เหมือนกันทุกประการ

การแสดงออกของปฏิกิริยาเช่นนี้ ไม่เป็นคนนิสัยเยือกเย็นเคร่งขรึมโดยธรรมชาติ ก็…ชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ไปแล้ว เลยแทบไม่ได้แยแสอันใด!

แต่ไม่ว่าจะจัดอยู่ในประเภทใด ก็ล้วนมีความจริงประการเดียวกัน

…บุคคลผู้นี้ มิใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ!

ขณะที่หลิ่วจื่ออันวางแผนจะใช้พลังปราณดั้งเดิมเพื่อต้านทานพลังนั่น ฉู่หลิวเยว่ก็พลันยกขาขึ้นก่อนจะเตะเข้าอย่างจังบริเวณหน้าท้อง!

“โครม!”

หลิวจื่ออันตัวพลิกกลับ ล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงและกระอักเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง! สีหน้าหม่นหมองลงทันที!

เขาพยายามใช้แขนอีกข้างหยัดตัวลุกขึ้น แต่พยายามอยู่เท่าไรก็ไม่สำเร็จ

ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเครื่องสูบลมอันเก่าที่ทรุดโทรม ทำได้เพียงหอบหายใจดัง “ฮืด ฮืด”

ราวกับมีเข็มหนาทิ่มแทงบริเวณหน้าอกอยู่ตลอดเวลา เจ็บปวดทรมานเกินจะรับไหว

ในส่วนลึกภายในจิตใจของหลิ่วจื่ออันรู้สึกเคียดแค้น นี่คงเป็นผลมาจากการเตะของฉู่เยว่เมื่อครู่!

หากไม่ได้เจอกับตัว เขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าจอมยุทธ์ระดับเจ็ด จะมีความสามารถในการต่อสู้แบบประชิดตัวที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

ขณะที่เขากำลังพยายามจะหยัดตัวขึ้นอีกครั้งแต่ก็ล้มเหลว รองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งและชายเสื้อที่พลิ้วไหวก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเขา

การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักลงในทันที มีเพียงหัวใจของเขาที่เต้นโครมครามราวกับมันกำลังจะหลุดออกมาจากอก!

เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ด้วยความลำบากยากเย็น ก่อนจะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

ครั้นทอดสายตาไปยังรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์ และดวงตาคู่นั้นที่ราวกับบ่อน้ำลึกมืดสนิทที่มองทะลุไม่เห็น จู่ๆ ความกลัวก็ก่อเกิดขึ้นภายใต้จิตใจของหลิ่วจื่ออันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!

ทันใดนั้นเองเขาก็ตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่บุคคลลที่เขาจะสามารถยั่วยุได้!

ฉู่หลิวเยว่ก้มมองเขา พลันส่งเสียง “จิ๊จ๊ะ”

“จอมยุทธ์ระดับแปด…ท่วงท่าของท่านดูจะอ่อนปวกเปียกเกินไปหรือไม่?”

คิดว่าอย่างหลิ่วจื่ออันคงจะสามารถต้านทานได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเพียงหมัดเดียวเขาก็จอดแล้ว

ครั้นตอนที่พี่เป่าฝึกฝนนาง เมื่อเทียบหุ่นเชิดในระดับเดียวกันที่นางเคยสู้ด้วยแล้ว ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

สิ่งที่ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ก็คือ หุ่นเชิดเหล่านั้นได้รับการขัดเกลาอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างดีโดยพี่เป่า นอกจากไม่มีพลังปราณดั้งเดิมแล้ว ด้านอื่นๆ พวกมันก็ล้วนอยู่ในระดับสูงสุด

นางต่อสู้กับหุ่นเชิดเหล่านั้นจนเคยชิน ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหา หากนางต้องเผชิญหน้ากับคนจริงเช่นนี้

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หัวใจของทุกคนก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ ครั้นมองมายังสายตาของนางก็รู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง

ท่วงท่าดูอ่อนปวกเปียก…

ยังไงระดับของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าหนึ่งระดับ!

คำพูดของเขาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและการอ้อนวอน ทำให้ทุกคนพากันเงียบสนิท

ภาพเหตุการณ์นี้ช่างแปลกเสียจริง

มีบุคคลสองคน คนหนึ่งยืนคนหนึ่งหมอบอยู่กับพื้น สูงคนต่ำคน

มันควรเป็นการประลองที่ไม่ควรต้องหลงเหลือข้อคลางแคลงใจใดๆ แต่หลิ่วจื่ออันซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ากลับกำลังร้องขอความเมตตาในขณะนี้

แม้แต่ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า ก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าสิ่งต่างๆ จะพัฒนามายังทิศทางนี้ได้

ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น มีเพียงเสียงประหนึ่งขอร้องของหลิ่วจื่ออันเท่านั้นที่ดังชัดเจนเป็นพิเศษ

ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะ

“ท่านรู้แพ้แล้วหรือ?”

“ใช่! ข้าแพ้แล้ว! ข้าไม่เก่งกาจทัดเทียมเจ้า ข้าแพ้ราบคาบ!”

“ท่านไม่สู้แล้ว?”

“ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว!”

เมื่อเผชิญกับคำถามของฉู่หลิวเยว่ หลิ่วจื่ออันตอบกลับทุกคำถามอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลสักนิด

เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ดูเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิด ความหวังอันริบหรี่ก็ผุดขึ้นในใจของเขา จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า

“ข้าให้สัญญาว่าจะไม่สู้กับเจ้าอีกเด็ดขาด!”

ฉู่หลิวเยว่ลูบคางไปมา

“อื้มม…ดูเหมือนท่านจะไม่อยากสู้แล้วจริงๆ…”

หลิ่วจื่ออันกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

ขณะนี้เขาไม่สามารถทำตามสิ่งที่หลิ่วอินถงบอกก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป ที่ให้เขาสอนบทเรียนหนักๆ ให้กับฉู่เยว่ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้คือการออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้าโดยเร็วที่สุด!

“ใช่ ข้า ข้าจะไม่ไปรบกวนเจ้าอีก! ข้าสัญญา!”

หลิ่วจื่ออันรีบนำตราหยกดำของตนออกมาเพื่อใช้เป็นหลักประกัน

“ท่านไม่อยากสู้แล้ว…”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเบาๆ ก่อนจะฉีกยิ้มในทันที ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาว เจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก นางเอ่ยเบาๆ

“เรื่องดีๆ เช่นนั้นมีเสียที่ไหนกัน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์